ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

CONDITIONAL FROMS & WISH FORMS

CONDITIONAL FROMS & WISH FORMS
หรือประโยคเงื่อนไข หมายถึง ประโยคที่สมมติ หรือคาดคะเนว่า
"ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามขึ้นมา" แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
คือ
1. เงื่อนไขที่เป็นความจริงเสมอ (หรือคาดว่าจะเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย)
2. เงื่อนไขที่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ (หรือไม่อาจเป็นจริงได้เลย)
3. เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว)

เงื่อนไขแบบที่ 1 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. จะต้องเป็นจริงเสมอ
ข. ผู้พูดแน่ใจว่าเป็นไปได้จริง ๆ
ลักษณะประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 มีดังนี้
IF + PRESENT + FUTURE
หรือ IF + PRESENT + PRESENT
หรือ IF +PRESENT + IMPERATIVE

เช่น If the sun rise, it will be a day.
หรือ If the sun rise, it is a day.
ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นกลางวัน (เป็นความจริง)

If we have no eye, we will see nothing.
หรือ If we have no eye, we see nothing
ถ้าเราไม่มีดวงตาก็จะไม่เห็นอะไรเลย

If I study hard, I will be the first in class.
หรือ If I study hard, I am the first in class.
ถ้าฉันขยันเรียนก็จะสอบได้ที่ 1 (พูดแบบมั่นใจในตัวเอง)

If you read this story, you will enjoy it.
หรือ If you read this story, you enjoy it.
ถ้าคุณอ่านเรื่องนี่คุณจะชอบ (แน่ใจว่าต้องชอบแน่ๆ)

ตัวอย่างในรูป IF + PRESENT + ประโยค IMPERATIVE
ประโยค IMPERATIVE คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำกริยา
(VERB) เช่น
Give me some books.
Wash it yourself.
Turn the light on.
เช่น If you meet your teacher, ask him about that problem.
ถ้าคุณเจอครูก็ถามปัญหานั้นสิ
If you really need it, buy it.
ถ้าคุณต้องการมันจริงๆก็ซื้อมันสิ

เงื่อนไขแบบที่ 2 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ (ไม่แน่ใจ)
ข. ไม่อาจเป็นจริงได้เลย

ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 มีดังนี้
IF + PAST SIMPLE + WOULD* + VERB 1
เช่น If he studied hard,he would succeed.
ถ้าเขาขยันเขาก็จะได้รับความสำเร็จ (พูดในลักษณะไม่แน่ใจเท่าไร)
If he saw Ladda, he would speak to her.
ถ้าเขาเจอลัดดา เขาจะพูดกับเธอ (ไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดด้วยหรือเปล่า)
If they drove more slowly, they would miss the train.
ถ้าเขาช้ากว่านี้ เขาจะไม่ทันรถไฟ (ก็ไม่แน่ช้าอาจจะทันก็ได้)
If I were you, I would love her.
ถ้าแนเป็นคุณฉันจะรักเธอ (เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักคุณ)
If she were a bird, she would sing all day.
ถ้าเธอเป็นนกเธอจะต้องร้องเพลงทั้งวัน(เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นนก)


ในลักษณะแบบที่ 2 นี้อาจจะใช้รูปนี้แทนก็ได้ (ความหมายเหมือนกัน)
IF + WERE TO + VERB 1 + WOULD* + VERB 1
เช่น If you worked harder, you would get good grades.
= If you were to work harder, you will get good grades.
ถ้าคุณเรียนอย่างจริงจังก็จะได้คะแนนมาก
If you come to our party, I would be glad.
= If you were to come to our party, I would be glad.
ถ้าคุณมางานเลี้ยงของเราได้ ฉันจะมีความสุขมาก
If you spoke louder, everyone would hear you.
= If you were to speak louder, everyone would hear you.
ถ้าคุณพูดดังกว่านี้ ทุก ๆ คนก็จะได้ยินคุณ
อาจจะใช้ WERE ไปวางไว้หน้าประโยคได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง เช่น
If he come to party, I would be glad.
If he were to come to our party, I would be glad.
Were he to come to our party, I would be glad.

Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้
เงื่อนไขแบบที่ 3 มีลักษณะสำคัญดังคือ
ก. ตรงข้ามกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ข. เป็นการสมมติเรื่องที่ผ่านมาในอดีต
ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 มีดังนี้
IF + PART PERFECT + WOULD*+ HAVE + VERB 1
เช่น If he had known the truth, he would have been angry.
ถ้าเขาทราบความจริงเขาจะโกรธมาก
(ความเป็นจริง เขาไม่ทราบความจริงและเขาก็ไม่ได้โกรธ)
If he had had your address, he would have written to you.
ถ้าเขามีที่อยู่ของคุณเขาคงเขียนจดหมายมาแล้ว
(ในความเป็นจริงเขาไม่มีที่อยู่และก็ไม่ได้เขียนจดหมายมาด้วย "ในอดีต") เช่น
If you had come yesterday you would have met her.
ถ้าเมื่อวานนี้คุณมาก็เจอเธอ (ความจริงไม่ได้มาวานนี้ และก็ไม่เจอด้วย)

Wish Forms หรือความปรารถนา มีกี่ลักษณะ
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่า FACT และ WISH ก่อน
FACT คือ ความจริงตรงตามเวลาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจริง เช่น
The earth is round.
โลกกลม
We have only one sun.
เรามีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว
WISH คือ ความปรารถนา ความต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ( Impossible ) เช่น
I wish the earth were flat.
ฉันปรารถนาให้โลกแบน
I wish we hand two suns.
ฉันปรารถนาให้ดวงอาทิตย์มีสองดวง
ลักษณะของความปราถนา
1. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในปัจจุบัน Present time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "Wish" ต้องอยู่ในรูป Past simple ( Subj + Verb 2)
เสมอแม้จะมีความหมายเป็นปัจจุบัน และในกรณีที่จะต้องใน V to be
ก็ใช้ได้เฉพาะ Were เท่านั้น ไม่ว่าประะานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น
FACT : I am poor man. ฉันเป็นคนจน
WISH : I wish I were a rich man ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรวย

FACT : I am not handsome ฉันเป็นคนไม่หล่อ
WISH : I wish I were handsome. ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรูปหล่อ

2. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอดีต Past time มีลักษณะสำคัญคือ
ประโยคหลัง "wish" เป็นรูป Past Perfect (Subj + Verb 3 ) เสมอ
และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ต้องใช้ในรูป had been
FACT : I was very poor last year. ปีที่แล้วฉันจน
WISH : I wish I had been rich last year ตอนนี้ฉันปรารถนาที่จะรวยเมื่อปีที่แล้ว
FACT : I didn't lived in Bangkok last month.
เดือนที่แล้วไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ
WISH : I wish I had lived in Bangkok last month.
ตอนนี้ฉันปรารถนาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้ว
3. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอนาคต Future time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "wish" ใช้รูป would + V 1 เสมอ และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ใช้ในรูป would be เช่น
FACT : John cannot speak Thai well.
จอนห์พูดภาษาไทยได้ไม้ค่อยดี
WISH : John wishes he could speak Thai well.
จอนห์ปรารถนาที่จะพูดได้ดีในอนาคต
FACT : He will be a teacher next year.
ปีหน้าเขาจะเป็นครู
WISH : I wish he would not be a teacher next year.
ฉันไม่ปรารถนาให้เขาเป็นครู
กลุ่มคำที่ใช้เช่นเดียวกับ WISH มีดังนี้คือ
If only ถ้าเพียงแต่ว่า
It's the time ถึงเวลาที่, เป็นเวลาที่
I'd rather ฉันอยากที่จะได้
If only I went there. ถ้าเพียงแต่ว่าฉันไม่ไปที่นั้นที่เดี๋ยวนี้
If only I had gone there. (รูปอดีต)
It's the time you had breakfast. ถึงเวลาที่คุณทานอาหารเช้าแล้ว
I'd rather you had been there last week. ฉันอยากให้คุณอยู่ที่นั่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้

ไม่มีความคิดเห็น: