It takes two flints to make a fire.
- – Louisa May Alcott – -
ต้องใช้หินถึง2ก้อนถึงจะเกิดไฟได้
“Progress always involves risk. You can’t steal second with your foot on first.”
- – Fredrick Wilcox – -
พัฒนาการจะมีเรื่องของความเสี่ยงมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ คุณจะไม่สามารถขโมยเบสสอง ได้เลย ถ้าเท้ายังแตะเบส 1 อยู่ (เบสบอล)
“It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself.”
- – Eleanor Roosevelt – -
ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำ
No man or woman is worth your tears and the only
one who is, will never make you cry.
ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้อง
เสียน้ำตาให้ ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น
เขาย่อมที่จะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างเด็ดขาด
It may take only a minute to like someone,
only an hour to have a crush on someone
and only a day to love someone
but it will take a lifetime to forget someone.
มันอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วนาทีที่จะชอบใครสักคน
เพียงชั่วโมงที่จะนึกรักใครสักคน
และเพียงชั่ววันที่จะรักใครสักคน
แต่มันจะใช้เวลาชั่วชีวิตของท่านที่จะลืมคนคนนั้น
If you love someone,
put their name in a circle,
instead of a heart,
because hearts can break,
but circles go on forever.
ถ้าคุณรักใครสักคน
จงเอาเขาไว้รอบตัวคุณแทนที่จะใส่เขาไว้ในใจ
เพราะหัวใจสามารถแตกสลายได้
แต่ถ้าเขาอยู่รอบตัวคุณ เขาจะอยู่กับคุณตลอดไป
God gives every bird it’s food.
But He does not throw it into it’s nest.
พระเจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว
แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น
love is a war, easy to start
but very hard to stop.
Vision without action is merely a dream.
Action without vision just passes the time.
Vision with action can change the world.
WITH MONEY YOU CAN BUY A HOUSE BUT NOT A HOME
WITH MONEY YOU CAN BUY A CLOCK BUT NOT TIME
WITH MONEY YOU CAN BUY A BED BUT NOT SLEEP
WITH MONEY YOU CAN BUY A BOOK, BUT NOT KNOWLEDGE
WITH MONEY YOU CAN A DOCTOR, BUT NOT GOOD HEALTH
WITH MONEY YOU CAN BUY A POSITION BUT NOT RESPECT
WITH MONEY YOU CAN BUY BLOOD BUT NOT LIFE
WITH MONEY YOU CAN BUY SEX BUT NOT LOVE
A penny saved is a penny earned.
Earn a penny is saved a penny.
ประหยัดได้หนึ่งเพนนี เท่ากับหาได้หนึ่งเพนนี
หาได้หนึ่งเพนนี เท่ากับประหยัดได้หนึ่งเพนนี
Nevre give advice in a crowd
อย่าให้คำแนะนำผู้อื่นท่ามกลางฝูงชน
You don’t need to take a person’s advice
to make him fell good
Just ask for it.
หากอยากให้ผู้อื่นชื่นใจคุณ
ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของเขาหรอก
เพียงแค่เอ่ยปากขอก็พอแล้ว
Remember…
that your character is your destiny.
จงจำไว้ว่า ลักษณะนิสัยของคุณ
เป็นตัวกำหนดโชคชะตาของตัวคุณเอง
If you tell the truth,
you don’t have to remember anything.
หากคุณพูดความจริง
คุณไม่จำเป็นต้องจดจำอะไรเลย
All the darkness in the world
can’t put out the light of one candle.
ความมืดทั้งโลกก็ดับแสงเทียนเล่มหนึ่งไม่ได้
Knowledge makes humble ;
Ignorance makes proud.
ความรู้ สอนให้ถ่อมตน
แต่ความโง่เขลา สอนให้เย่อหยิ่ง
In every beginning
think of the end
ในการเริ่มต้นทุกครั้ง
จงคิดถึงจุดจบด้วย
Wise men learn form others’ mistake
Fools by their own.
คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น
คนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
Every one minute you spend in planning
will save you at least three minutes in execution.
ทุกหนึ่งนาทีที่คุณใช้ไปในการวางแผน
จะประหยัดเวลาได้อย่างน้อยสามนาทีเมื่อปฎิบัติตามแผน
It’s much easier to giveness
then to (revenge) ask for permission.
การให้อภัยง่ายกว่า
การ (แก้แค้น) ขออนุญาตมากมาย
No man is fit to command another
who can’t command himself.
คนที่ไม่สามารถบัญชาตัวเองได้
ย่อมไม่เหมาะสมที่จะบังคับบัญชาคนอื่น
In god we tust…
Every else pay cash
เราเชื่อในพระเจ้า…
คนอื่น ๆ ขอให้จ่ายเงินสด
Often the way to win
is to forgot to keep score.
บ่อยครั้งวิธีที่ดีที่สุด ที่จะชนะคือ
การลืมที่จะนับแต้ม
Never fear shadow.
They simply mean
there’s a light shining
some where near by.
อย่ากลัวเงา เพราะเงา
หมายความว่ามีแสงสว่าง
ส่องอยู่ใกล้ ๆ สักแห่ง
Am I not destroying my enemies
when I make friends of them ?
ผมไม่ได้ทำลายศัตรูของผมไปดอกหรือ
เมื่อผมทำให้พวกเขากลายเป็นมิตรของผม
เครดิต : http://www.thaiquip.com/tag/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9
ค้นหาบล็อกนี้
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Tip.......ประโยคภาษาอังกฤษ
1. ประโยคความเดียว (Simple Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยภาคประธาน และกริยาอย่างละตัว ซึ่งถือเป็นประโยคพื้นฐานในการเขียนภาษาอังกฤษ
2. ประโยคความรวม (Compound Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอย่างน้อย 2 ประโยค2 ประโยคและมีคำเชื่อม (conjunction) ซึ่งมีหน้าที่เชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ทั้ง 2 ประโยคสามารถแยกออกจากกันได้ โดยที่ประโยคยังคงเป็นประโยคทั้ง 2 ที่มีความหมายสมบูรณ์
3. ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวหรืออนุประโยคอิสระ (Independent clause) 1 อนุประโยค และอนุประโยคที่ไม่สมบูรณ์ (Dependent clause) อีก 1 อนุประโยค (dependent clause)ไม่สมบูรณ์ไม่มีความหมายที่สมบูรณ์เนื่องจากเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ อนุประโยคอิสระเท่านั้น สามารถตัดออกไปได้โดยที่อนุประโยคอิสระยังคงมีความหมายสมบูรณ์อยู่
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาจบบทที่ 1 แล้วนักศึกษาสามารถ
1. จำแนกส่วนประกอบของประโยคในแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้อง
2. วิเคราะห์ได้ว่าประโยคใดเป็นประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยค ความซ้อน โดยสังเกตจากส่วนประกอบของ Dependent clause และ Independent clause
3. สามารถเชื่อมประโยคต่างๆให้เป็นประโยคความรวมได้ โดยใช้คำเชื่อมต่างๆ
4. เพิ่มเติมประโยคสั้นๆ ให้เป็นประโยคความรวมและใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) รวมไปถึงคำเชื่อมต่างๆได้อย่างถูกต้อง
5. สามารถนำส่วนของประโยค Independent Clause และ Dependent Clause ทำให้เป็นประโยคความซ้อนได้
การเขียนภาษาอังกฤษจะเป็นเรื่องง่ายหากเข้าใจโครงสร้างของประโยคและสามารถวิเคราะห์ ได้ว่าประโยคที่กำลังศึกษานั้น เป็นประโยคชนิดใด สำหรับประโยคชนิดใด ในการเขียนภาษาอังกฤษ จะมีประโยคอยู่ 3 แบบ ด้วยกันคือ
1. ประโยคความเดียว (Simple Sentence)
2. ประโยคความรวม (Compound Sentence)
3. ประโยคความซ้อน (Complex Sentence)
1.1 ประโยคความเดียว (Simple Sentence)
ประโยคความเดียวคือ ประโยคที่ประกอบด้วยกลุ่มคำและมีความหมายสมบูรณ์ ประกอบด้วยภาคประธานและ ภาคกริยา หรืออาจจะมีส่วนเติมเต็มประกอบอยู่ในประโยคด้วย โครงสร้างของประโยคความเดียวมีดังต่อไปนี้
ตัวอย่างของประโยคความเดียวในแบบต่างๆ
- The students are happy. = ประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็ม
- Sujin bought the clothes. = ประธาน + กริยา + กรรม
- She is reading. = ภาคประธาน + ภาคแสดง
- Linda opens the store. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง
- I like his idea. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง
- The company is big and famous. = ภาคประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็มขยาย
ประธาน
- The news made company staffs happy. = ภาคประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนเติมเต็มขยายกรรม
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ประโยคความเดียวจะต้องประกอบด้วย 1 ประธาน 1 กริยา นั่นเอง ในส่วนของกรรม ส่วนเติมเต็ม และส่วนขยายอื่นๆนั้นผู้เขียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละโอกาส
1.2 ประโยคความรวม (Compound Sentence)
ประโยคความรวมคือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวอย่างน้อย 2 ประโยคโดยมีคำเชื่อมระหว่างประโยค เช่น and, or และอาจคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) เพื่อให้เป็นประโยคเดียวกัน โครงสร้างของประโยคจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
คำเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมประโยคความรวมนั้น ก็มีอยู่หลากหลายคำด้วยกัน ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า and, not only….but also, in addition, besides, in the same way จะใช้ในประโยคที่คล้อยไปในทางเดียวกัน คำว่า but, nor, in contrast, neither nor จะใช้ในการเชื่อมประโยคที่มีความหมายตรงข้ามกัน คำว่า because และ for instance ใช้ในการเชื่อมประโยคเพื่อบอกเหตุผลหรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม
นอกจากนี้แล้ว ยังมีคำเชื่อมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น for, or, so, yet, however, therefore, otherwise, consequently เป็นต้น
ตัวอย่างของประโยคความรวม
- The restaurant is big. - The food is not delicious.
= (The restaurant is big, but the food is not delicious.)
- John will write a homepage. - He will advertise his company.
= John will write a homepage, and he will advertise his company.
1.3 ประโยคความซ้อน (Complex sentence)
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่ประกอบด้วยหนึ่งประโยคที่สมบูรณ์ ที่เรียกว่า Independent clause และอนุประโยคที่นำหน้าด้วยคำแทนบุคคล สิ่งของ สถานที่ เวลาหรือการกระทำที่เป็นประธานของประโยคหลักซึ่งเมื่อแยกออกแล้วไม่ได้ความหมายที่สมบูรณ์ เรียกอนุประโยคนี้ว่า dependent clause กล่าวคือ นำหน้าด้วย that, which, who, while, what, when เป็นต้น
ตัวอย่าง ของประโยคความซ้อน
- The company that we like to apply for a job is famous.
= The company is famous. (Indep)
= that we like to apply for a job (Dep)
- The man who asked for your address is my boss.
= The man is my boss. (Indep)
= who asked for your address (Dep)
วันนี้ เรามาดูรูปแบบของประโยคชนิดต่างๆกันนะคะ
1. Simple Sentence ประกอบด้วย Main Clause (M.C) หนึ่ง Clause
- It was raining yesterday evening.
- He lent me some money.
2. Compound Sentence ประกอบด้วย Main Clause ตั้งแต่ 2 Main Clause ขึ้นไป (M.C+M.C) ซึ่งระหว่าง M.C ทั้งสอง จะเชื่อมด้วย Coordinating Conjunction (คำสันธาน) Conjunction หลักๆที่ต้องจำมีดังนี้
for : The dog barked fiercely,for there was a stranger in front of the
house.
and : I walked home and I was tired.
nor : I haven’t done any homework, nor do I intend to do so.
but :Thailand is a beautiful country, but still it has many poor people.
or : He finally read the book , or so I thought.
yet : Everyone wants to take part in the election yet no one wants to learn about democracy.
so : The computer crashed, so I lost all of my work.
มีวิธีการจำ conjunction ของ Compound Sentence ซึ่งเคยมีอาจารย์ฝรั่งสอนไว้ให้จำเรียงกันดังนี้ค่ะ
for and nor but or yet so
ที่ให้เรียงกันแบบนี้ เพราะอักษรตัวหน้า สามารถนำมาเรียงกันเป็น fan boys ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ยังมีรูปแบบของประโยคอีก 2 รูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่ก็ถือว่า เป็น Compound Sentence เนื่องจากเป็น Main Clause ทั้ง 2 Main Clause
- The small cat was sick, and I had to feed it some milk.
(รูปแบบทั่วไป มีคำเชื่อม and และมี comma หน้าคำเชื่อม)
- The small cat was sick; therefore, I had to feed it some milk.
(รูปแบบที่แตกต่าง คือมีเครื่องหมาย semicolon; ตามด้วย transitional word หรือ คำเชื่อม therefore)
- The small cat was sick;I had to feed it some milk.
(อีกหนึ่งรูปแบบ คือใช้เพียง ; คั่น main clause ทั้งสองที่มีใจความสำคัญเท่ากัน)
เรื่อง Main Clause นี้ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวจะสรุปวิธีการใช้ให้ภายหลังค่ะ ตอนนี้ ลองสังเกตมันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน คนช่างสังเกตย่อมได้เปรียบค่ะ
3. Complex Sentence ถือเป็นประโยคที่มีความสลับซับซ้อนที่สุดของภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเรารู้จักส่วนประกอบของมันเป็นส่วนๆมาตั้งแต่ต้น ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้ว ก็สามารถทำความเข้าใจกับมันได้ไม่ยากค่ะ การ break Complex Sentence ได้เองเป็นส่วนๆ จะช่วยเราได้อย่างดีมากเรื่องการอ่านอีกด้วย
Complex Sentence ทั่วๆไปจะประกอบด้วย Subordinate Clause ตั้งแต่ 1 Clause ขึ้นไป และ 1 main clause โดยจะมี SC นำหน้า MC หรือ MC นำหน้า SC ก็ได้ มีข้อสังเกตการใช้ punctuation mark สำหรับประโยคชนิดนี้ก็คือ ถ้า SC นำหน้า จะต้องตามด้วย comma ,ยกเว้นแต่บางครั้ง comma อาจจะไม่จำเป็น ถ้า Clause ที่นำหน้ามีเนื้อความสั้นๆจนไม่สับสน ลองดูตัวอย่าง
- When she felt sleepy, she didn’t want to read any books.
ประโยคนี้ใส่ ,
- That I passed the examination didn’t please my mother.
นอกจากนั้น ถ้า SC ใช้ตามหลัง MC ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ , เช่นกัน เว้นแต่ต้องการเน้นความสำคัญหรือความชัดเจน
- Because there were many bombs in Southern Thailand, the people fled away to other regions.
(SC+MC)
- The people fled away to other regions because there were many bombs in Southern Thailand.
(MC+SC)
อยากจะกล่าวถึง Compound-Complex Sentence รวมไว้ใน Complex Sentence นี้เสียเลย เพราะ มันเป็นประโยคที่ถูกเรียงร้อยด้วย Subordinate Clause ตั้งแต่ 1Clause ขึ้นไป และ Main Clause ตั้งแต่ 2 Clauses ขึ้นไป เรียกได้ว่า ถ้าแต่งประโยคได้ด้วย Compound-Complex Sentence ได้หลายประโยค ก็ถือว่า คุณได้เริ่มพัฒนาความสามารถที่จะไปสู่งานเขียนที่ดีได้แล้วค่ะ
- Although my mother calls me every evening when I am in the campus dormitory, I don’t pay much attention to her call, but go out to join my friends every day as they want me to have good times with them.
เป็นไงคะ ลองแยกแยะ หรือ break ประโยคนี้ให้เป็นประโยคย่อยๆตาม Sentence Patterns ดูนะคะ แล้วจะเห็นเองว่า การแต่งประโยคให้ได้ใจความครบถ้วน และสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้พอสมควร ย่อมต้องใช้พื้นฐานความรู้ทาง Grammar เป็นหลักเลยทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงเรื่อง Sentence ในภาษาอังกฤษแล้ว ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจได้ทันที(สำหรับผู้ที่เคยผ่านหูผ่านตามา) ว่า คำว่า “Sentence” นี้ ก็คือประโยคในภาษาไทยนั่นเอง ประโยคในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค การเรียงประโยค จึงอาจทำให้ผู้ที่เข้าใจภาษาไทย สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะได้ทำการจำแนกแบ่งซอย Sentence(ประโยค) ขอนำคำนิยามความหมายที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมหลายเล่มมาประมวลเอาไว้พอสังเขปดังนี้
“ Sentence is group of words that you put together to tell an idea or ask a question.”
(Oxford Basic English Dictionary,1981:247)
“ Sentence is a word or a group of syntactically related words that states, asks, commands, or exclaims something conventional unit of connected speech or writing, usually containing a subject and a predicate: in writing, a sentence begins with a capital letter and concludes with an end of mark (period, question mark, etc.), and concludes with any various final pitches and a terminal juncture.” (Webster’s New World Dictionary,1988:1223)
“ Sentence is a group of words, which they are written down, begin with a capital letter and end with a full stop, question mark, or exclamation mark. Most of sentence contain a subject and a verb.” ( Collins Cobuild English Dictionary,1995:287)
จากคำนิยามความหมายของ Sentence (ประโยค) ข้างต้นนี้ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
Sentence(ประโยค) หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) และภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) ตัวอย่างเช่น
I am a monk.
ผมเป็นพระ
ภาคประธาน (Subject) คือ I
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ am a monk
Mahachulalongkornrajavidyalaya university is the Buddhist university.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา
ภาคประธาน (Subject) คือ Mahachulalongkornrajavidyalaya university
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ is the Buddhist university
ฯลฯ
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Simple Sentence ( ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค)
2. Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence ( ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence ( ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
ต่อไปก็จะได้กล่าวถึงความหมายและรายละเอียด กฎเกณฑ์ของ Sentence (ประโยค) แต่ละข้อ
ที่ได้กล่าวมาแล้ว ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. Simple Sentence แปลว่า ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค หมายถึง ข้อความที่พูด
ออกไปแล้ว มีใจความเดียว ไม่กำกวม สามารถเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เป็นประโยคที่มีประธานตัวเดียว และกิริ ยาตัวเดียว
ตัวอย่างเช่น
-Venerable Tawan is my friend.
ท่านตะวันเป็นเพื่อนของผม
- Buddhism is one of the great world religions.
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่
ฯลฯ
หมายเหตุ : พึงสังเกตประโยคแต่ละประโยคข้างต้นเหล่านี้ จะเห็นว่าแต่ละประโยคจะมีประธาน
ตัวเดียว และกิริยาตัวเดียว จึงทำให้สามารถทราบได้ว่าเป็น Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ตามความหมาย และกฎเกณฑ์ข้างต้น
นอกจากนั้นแล้ว Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ยังสามารถแบ่งเป็น
ประโยคย่อยๆ ได้อีก 6 รูปแบบ ดังนี้คือ
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence)
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence )
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence )
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
ก่อนอื่นก็ขอเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับไปดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา
ไม่อยู่ในรูปคำถาม ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ
ตัวอย่างเช่น
- I am studying at a university in Nakornratchasima province.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
- Wat Isaan is located in Nakornratchasima city.
วัดอิสานตั้งอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา
ฯลฯ
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่น
- The Pali language is not difficult for monks.
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ยากสำหรับพระ
- Thailand is not the largest country in the world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฯลฯ
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เพื่อ
ต้องการทราบคำตอบ
ตัวอย่างเช่น
- Are you a monk ?
ท่านเป็นพระหรือ ?
- What is Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
ฯลฯ
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence) ได้แก่ประโยคที่มีเนื้อความเชิง
ปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น
- Does not she believe in you?
หล่อนไม่เชื่อคุณหรือ?
- Why do not you do that again?
ทำไมคุณถึงไม่ทำมันอีกครั้ง?
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือ
บังคับให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
5.1 ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg your pardon.
ผมขอโทษ
- You should follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
ฯลฯ
5.2 ประโยคที่มีเนื้อความบังคับ เช่น
- Do as my suggestion.
จงทำตามคำแนะนำของผม
- Open the door now.
จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้
ฯลฯ
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่ง
อุทานขึ้น มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
How nice she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
ฯลฯ
2. Compound Sentence แปลว่า ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค หมายถึง ประโยคที่มีข้อความ 2 ข้อความมารวมกัน พูดง่าย ๆ คือ ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc. และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, etc.
2.1 Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Tawan can speak English and he can speak Loa.
ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
- Phramaha Charoen does not study Loa yet he can speak it.
พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
ฯลฯ
2.2 Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Prakorng was ill, thus he went to see a doctor at a hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess comes to see me at a temple, meanwhile I teach her Buddhism.
เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Compound Sentence เกิดมาจาก Simple Sentence 2 ประโยคมารวมกัน แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
3. Complex Sentence แปลว่า ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค หมายถึง ประโยคที่มี
เนื้อความซับซ้อน ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่งแล้ว ทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์ จะใช้ตัวเชื่อมที่เรียกว่า sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun(สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
3.1 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Before I go out, I would like to leave my messages.
ก่อนที่ผมไป ผมอยากจะทิ้งข้อความของผมเอาไว้
- Venerable Somporn talks as if he was able to speak English.
ท่านสมพรพูดราวกับว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
3.2 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
ตัวอย่างเช่น
The monk who is standing over there is my friend.
พระผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นคือเพื่อนของผม
The monk whose book was stolen is student.
พระผู้ซึ่งหนังสือของเขาถูกขโมยคือนักเรียนของผม
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc. เพื่อทำให้สองประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์
4. Compound – Complex Sentence แปลว่า ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค
หมายถึง ประโยคที่มีเนื้อความหลายเนื้อความมาอยู่รวมกัน โดยไม่จัดเข้าเกณฑ์ตามแบบประโยคที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หรืออาจกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่จัดเข้าพวก ทั้งสามประโยคที่กล่าวมาข้างต้น และมีกฎเกณฑ์สลับซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Kitti can not remember whose book it is, so he asks his friend.
ท่านกิตติไม่สามารถจำว่าหนังสือนี้เป็นของใครได้ ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนของเขา
- Venerable Manop does not understand what teacher explains, yet he writes it down in his note book.
ท่านมานพไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูกำลังอธิบาย ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็ได้จดมันไว้ในสมุดจดบันทึกของเขา
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า compound - complex sentence (ประโยคความผสมหรือสังกรอเนกัตถประโยค) มีประโยคเล็กที่เรียกว่า clause (อนุประโยค) แทรกเขามาท่ามกลาง Compound Sentence (ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค)
สรุป
Sentence หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือhttp://www.blogger.com/img/blank.gif
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค) แบ่งออกเป็น6คือ
1.1 ประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence)
1.2 ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence )
1.3 ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence)
1.4 ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
1.5 ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
1.6 ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence (ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
เครดิต : http://www.bobaetower.com/webboard/index.php?topic=7525.0
2. ประโยคความรวม (Compound Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอย่างน้อย 2 ประโยค2 ประโยคและมีคำเชื่อม (conjunction) ซึ่งมีหน้าที่เชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ทั้ง 2 ประโยคสามารถแยกออกจากกันได้ โดยที่ประโยคยังคงเป็นประโยคทั้ง 2 ที่มีความหมายสมบูรณ์
3. ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวหรืออนุประโยคอิสระ (Independent clause) 1 อนุประโยค และอนุประโยคที่ไม่สมบูรณ์ (Dependent clause) อีก 1 อนุประโยค (dependent clause)ไม่สมบูรณ์ไม่มีความหมายที่สมบูรณ์เนื่องจากเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ อนุประโยคอิสระเท่านั้น สามารถตัดออกไปได้โดยที่อนุประโยคอิสระยังคงมีความหมายสมบูรณ์อยู่
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาจบบทที่ 1 แล้วนักศึกษาสามารถ
1. จำแนกส่วนประกอบของประโยคในแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้อง
2. วิเคราะห์ได้ว่าประโยคใดเป็นประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยค ความซ้อน โดยสังเกตจากส่วนประกอบของ Dependent clause และ Independent clause
3. สามารถเชื่อมประโยคต่างๆให้เป็นประโยคความรวมได้ โดยใช้คำเชื่อมต่างๆ
4. เพิ่มเติมประโยคสั้นๆ ให้เป็นประโยคความรวมและใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) รวมไปถึงคำเชื่อมต่างๆได้อย่างถูกต้อง
5. สามารถนำส่วนของประโยค Independent Clause และ Dependent Clause ทำให้เป็นประโยคความซ้อนได้
การเขียนภาษาอังกฤษจะเป็นเรื่องง่ายหากเข้าใจโครงสร้างของประโยคและสามารถวิเคราะห์ ได้ว่าประโยคที่กำลังศึกษานั้น เป็นประโยคชนิดใด สำหรับประโยคชนิดใด ในการเขียนภาษาอังกฤษ จะมีประโยคอยู่ 3 แบบ ด้วยกันคือ
1. ประโยคความเดียว (Simple Sentence)
2. ประโยคความรวม (Compound Sentence)
3. ประโยคความซ้อน (Complex Sentence)
1.1 ประโยคความเดียว (Simple Sentence)
ประโยคความเดียวคือ ประโยคที่ประกอบด้วยกลุ่มคำและมีความหมายสมบูรณ์ ประกอบด้วยภาคประธานและ ภาคกริยา หรืออาจจะมีส่วนเติมเต็มประกอบอยู่ในประโยคด้วย โครงสร้างของประโยคความเดียวมีดังต่อไปนี้
ตัวอย่างของประโยคความเดียวในแบบต่างๆ
- The students are happy. = ประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็ม
- Sujin bought the clothes. = ประธาน + กริยา + กรรม
- She is reading. = ภาคประธาน + ภาคแสดง
- Linda opens the store. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง
- I like his idea. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง
- The company is big and famous. = ภาคประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็มขยาย
ประธาน
- The news made company staffs happy. = ภาคประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนเติมเต็มขยายกรรม
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ประโยคความเดียวจะต้องประกอบด้วย 1 ประธาน 1 กริยา นั่นเอง ในส่วนของกรรม ส่วนเติมเต็ม และส่วนขยายอื่นๆนั้นผู้เขียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละโอกาส
1.2 ประโยคความรวม (Compound Sentence)
ประโยคความรวมคือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวอย่างน้อย 2 ประโยคโดยมีคำเชื่อมระหว่างประโยค เช่น and, or และอาจคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) เพื่อให้เป็นประโยคเดียวกัน โครงสร้างของประโยคจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
คำเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมประโยคความรวมนั้น ก็มีอยู่หลากหลายคำด้วยกัน ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า and, not only….but also, in addition, besides, in the same way จะใช้ในประโยคที่คล้อยไปในทางเดียวกัน คำว่า but, nor, in contrast, neither nor จะใช้ในการเชื่อมประโยคที่มีความหมายตรงข้ามกัน คำว่า because และ for instance ใช้ในการเชื่อมประโยคเพื่อบอกเหตุผลหรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม
นอกจากนี้แล้ว ยังมีคำเชื่อมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น for, or, so, yet, however, therefore, otherwise, consequently เป็นต้น
ตัวอย่างของประโยคความรวม
- The restaurant is big. - The food is not delicious.
= (The restaurant is big, but the food is not delicious.)
- John will write a homepage. - He will advertise his company.
= John will write a homepage, and he will advertise his company.
1.3 ประโยคความซ้อน (Complex sentence)
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่ประกอบด้วยหนึ่งประโยคที่สมบูรณ์ ที่เรียกว่า Independent clause และอนุประโยคที่นำหน้าด้วยคำแทนบุคคล สิ่งของ สถานที่ เวลาหรือการกระทำที่เป็นประธานของประโยคหลักซึ่งเมื่อแยกออกแล้วไม่ได้ความหมายที่สมบูรณ์ เรียกอนุประโยคนี้ว่า dependent clause กล่าวคือ นำหน้าด้วย that, which, who, while, what, when เป็นต้น
ตัวอย่าง ของประโยคความซ้อน
- The company that we like to apply for a job is famous.
= The company is famous. (Indep)
= that we like to apply for a job (Dep)
- The man who asked for your address is my boss.
= The man is my boss. (Indep)
= who asked for your address (Dep)
วันนี้ เรามาดูรูปแบบของประโยคชนิดต่างๆกันนะคะ
1. Simple Sentence ประกอบด้วย Main Clause (M.C) หนึ่ง Clause
- It was raining yesterday evening.
- He lent me some money.
2. Compound Sentence ประกอบด้วย Main Clause ตั้งแต่ 2 Main Clause ขึ้นไป (M.C+M.C) ซึ่งระหว่าง M.C ทั้งสอง จะเชื่อมด้วย Coordinating Conjunction (คำสันธาน) Conjunction หลักๆที่ต้องจำมีดังนี้
for : The dog barked fiercely,for there was a stranger in front of the
house.
and : I walked home and I was tired.
nor : I haven’t done any homework, nor do I intend to do so.
but :Thailand is a beautiful country, but still it has many poor people.
or : He finally read the book , or so I thought.
yet : Everyone wants to take part in the election yet no one wants to learn about democracy.
so : The computer crashed, so I lost all of my work.
มีวิธีการจำ conjunction ของ Compound Sentence ซึ่งเคยมีอาจารย์ฝรั่งสอนไว้ให้จำเรียงกันดังนี้ค่ะ
for and nor but or yet so
ที่ให้เรียงกันแบบนี้ เพราะอักษรตัวหน้า สามารถนำมาเรียงกันเป็น fan boys ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ยังมีรูปแบบของประโยคอีก 2 รูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่ก็ถือว่า เป็น Compound Sentence เนื่องจากเป็น Main Clause ทั้ง 2 Main Clause
- The small cat was sick, and I had to feed it some milk.
(รูปแบบทั่วไป มีคำเชื่อม and และมี comma หน้าคำเชื่อม)
- The small cat was sick; therefore, I had to feed it some milk.
(รูปแบบที่แตกต่าง คือมีเครื่องหมาย semicolon; ตามด้วย transitional word หรือ คำเชื่อม therefore)
- The small cat was sick;I had to feed it some milk.
(อีกหนึ่งรูปแบบ คือใช้เพียง ; คั่น main clause ทั้งสองที่มีใจความสำคัญเท่ากัน)
เรื่อง Main Clause นี้ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวจะสรุปวิธีการใช้ให้ภายหลังค่ะ ตอนนี้ ลองสังเกตมันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน คนช่างสังเกตย่อมได้เปรียบค่ะ
3. Complex Sentence ถือเป็นประโยคที่มีความสลับซับซ้อนที่สุดของภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเรารู้จักส่วนประกอบของมันเป็นส่วนๆมาตั้งแต่ต้น ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้ว ก็สามารถทำความเข้าใจกับมันได้ไม่ยากค่ะ การ break Complex Sentence ได้เองเป็นส่วนๆ จะช่วยเราได้อย่างดีมากเรื่องการอ่านอีกด้วย
Complex Sentence ทั่วๆไปจะประกอบด้วย Subordinate Clause ตั้งแต่ 1 Clause ขึ้นไป และ 1 main clause โดยจะมี SC นำหน้า MC หรือ MC นำหน้า SC ก็ได้ มีข้อสังเกตการใช้ punctuation mark สำหรับประโยคชนิดนี้ก็คือ ถ้า SC นำหน้า จะต้องตามด้วย comma ,ยกเว้นแต่บางครั้ง comma อาจจะไม่จำเป็น ถ้า Clause ที่นำหน้ามีเนื้อความสั้นๆจนไม่สับสน ลองดูตัวอย่าง
- When she felt sleepy, she didn’t want to read any books.
ประโยคนี้ใส่ ,
- That I passed the examination didn’t please my mother.
นอกจากนั้น ถ้า SC ใช้ตามหลัง MC ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ , เช่นกัน เว้นแต่ต้องการเน้นความสำคัญหรือความชัดเจน
- Because there were many bombs in Southern Thailand, the people fled away to other regions.
(SC+MC)
- The people fled away to other regions because there were many bombs in Southern Thailand.
(MC+SC)
อยากจะกล่าวถึง Compound-Complex Sentence รวมไว้ใน Complex Sentence นี้เสียเลย เพราะ มันเป็นประโยคที่ถูกเรียงร้อยด้วย Subordinate Clause ตั้งแต่ 1Clause ขึ้นไป และ Main Clause ตั้งแต่ 2 Clauses ขึ้นไป เรียกได้ว่า ถ้าแต่งประโยคได้ด้วย Compound-Complex Sentence ได้หลายประโยค ก็ถือว่า คุณได้เริ่มพัฒนาความสามารถที่จะไปสู่งานเขียนที่ดีได้แล้วค่ะ
- Although my mother calls me every evening when I am in the campus dormitory, I don’t pay much attention to her call, but go out to join my friends every day as they want me to have good times with them.
เป็นไงคะ ลองแยกแยะ หรือ break ประโยคนี้ให้เป็นประโยคย่อยๆตาม Sentence Patterns ดูนะคะ แล้วจะเห็นเองว่า การแต่งประโยคให้ได้ใจความครบถ้วน และสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้พอสมควร ย่อมต้องใช้พื้นฐานความรู้ทาง Grammar เป็นหลักเลยทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงเรื่อง Sentence ในภาษาอังกฤษแล้ว ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจได้ทันที(สำหรับผู้ที่เคยผ่านหูผ่านตามา) ว่า คำว่า “Sentence” นี้ ก็คือประโยคในภาษาไทยนั่นเอง ประโยคในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค การเรียงประโยค จึงอาจทำให้ผู้ที่เข้าใจภาษาไทย สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะได้ทำการจำแนกแบ่งซอย Sentence(ประโยค) ขอนำคำนิยามความหมายที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมหลายเล่มมาประมวลเอาไว้พอสังเขปดังนี้
“ Sentence is group of words that you put together to tell an idea or ask a question.”
(Oxford Basic English Dictionary,1981:247)
“ Sentence is a word or a group of syntactically related words that states, asks, commands, or exclaims something conventional unit of connected speech or writing, usually containing a subject and a predicate: in writing, a sentence begins with a capital letter and concludes with an end of mark (period, question mark, etc.), and concludes with any various final pitches and a terminal juncture.” (Webster’s New World Dictionary,1988:1223)
“ Sentence is a group of words, which they are written down, begin with a capital letter and end with a full stop, question mark, or exclamation mark. Most of sentence contain a subject and a verb.” ( Collins Cobuild English Dictionary,1995:287)
จากคำนิยามความหมายของ Sentence (ประโยค) ข้างต้นนี้ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
Sentence(ประโยค) หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) และภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) ตัวอย่างเช่น
I am a monk.
ผมเป็นพระ
ภาคประธาน (Subject) คือ I
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ am a monk
Mahachulalongkornrajavidyalaya university is the Buddhist university.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา
ภาคประธาน (Subject) คือ Mahachulalongkornrajavidyalaya university
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ is the Buddhist university
ฯลฯ
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Simple Sentence ( ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค)
2. Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence ( ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence ( ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
ต่อไปก็จะได้กล่าวถึงความหมายและรายละเอียด กฎเกณฑ์ของ Sentence (ประโยค) แต่ละข้อ
ที่ได้กล่าวมาแล้ว ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. Simple Sentence แปลว่า ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค หมายถึง ข้อความที่พูด
ออกไปแล้ว มีใจความเดียว ไม่กำกวม สามารถเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เป็นประโยคที่มีประธานตัวเดียว และกิริ ยาตัวเดียว
ตัวอย่างเช่น
-Venerable Tawan is my friend.
ท่านตะวันเป็นเพื่อนของผม
- Buddhism is one of the great world religions.
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่
ฯลฯ
หมายเหตุ : พึงสังเกตประโยคแต่ละประโยคข้างต้นเหล่านี้ จะเห็นว่าแต่ละประโยคจะมีประธาน
ตัวเดียว และกิริยาตัวเดียว จึงทำให้สามารถทราบได้ว่าเป็น Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ตามความหมาย และกฎเกณฑ์ข้างต้น
นอกจากนั้นแล้ว Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ยังสามารถแบ่งเป็น
ประโยคย่อยๆ ได้อีก 6 รูปแบบ ดังนี้คือ
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence)
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence )
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence )
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
ก่อนอื่นก็ขอเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับไปดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา
ไม่อยู่ในรูปคำถาม ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ
ตัวอย่างเช่น
- I am studying at a university in Nakornratchasima province.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
- Wat Isaan is located in Nakornratchasima city.
วัดอิสานตั้งอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา
ฯลฯ
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่น
- The Pali language is not difficult for monks.
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ยากสำหรับพระ
- Thailand is not the largest country in the world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฯลฯ
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เพื่อ
ต้องการทราบคำตอบ
ตัวอย่างเช่น
- Are you a monk ?
ท่านเป็นพระหรือ ?
- What is Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
ฯลฯ
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence) ได้แก่ประโยคที่มีเนื้อความเชิง
ปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น
- Does not she believe in you?
หล่อนไม่เชื่อคุณหรือ?
- Why do not you do that again?
ทำไมคุณถึงไม่ทำมันอีกครั้ง?
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือ
บังคับให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
5.1 ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg your pardon.
ผมขอโทษ
- You should follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
ฯลฯ
5.2 ประโยคที่มีเนื้อความบังคับ เช่น
- Do as my suggestion.
จงทำตามคำแนะนำของผม
- Open the door now.
จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้
ฯลฯ
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่ง
อุทานขึ้น มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
How nice she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
ฯลฯ
2. Compound Sentence แปลว่า ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค หมายถึง ประโยคที่มีข้อความ 2 ข้อความมารวมกัน พูดง่าย ๆ คือ ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc. และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, etc.
2.1 Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Tawan can speak English and he can speak Loa.
ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
- Phramaha Charoen does not study Loa yet he can speak it.
พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
ฯลฯ
2.2 Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Prakorng was ill, thus he went to see a doctor at a hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess comes to see me at a temple, meanwhile I teach her Buddhism.
เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Compound Sentence เกิดมาจาก Simple Sentence 2 ประโยคมารวมกัน แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
3. Complex Sentence แปลว่า ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค หมายถึง ประโยคที่มี
เนื้อความซับซ้อน ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่งแล้ว ทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์ จะใช้ตัวเชื่อมที่เรียกว่า sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun(สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
3.1 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Before I go out, I would like to leave my messages.
ก่อนที่ผมไป ผมอยากจะทิ้งข้อความของผมเอาไว้
- Venerable Somporn talks as if he was able to speak English.
ท่านสมพรพูดราวกับว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
3.2 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
ตัวอย่างเช่น
The monk who is standing over there is my friend.
พระผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นคือเพื่อนของผม
The monk whose book was stolen is student.
พระผู้ซึ่งหนังสือของเขาถูกขโมยคือนักเรียนของผม
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc. เพื่อทำให้สองประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์
4. Compound – Complex Sentence แปลว่า ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค
หมายถึง ประโยคที่มีเนื้อความหลายเนื้อความมาอยู่รวมกัน โดยไม่จัดเข้าเกณฑ์ตามแบบประโยคที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หรืออาจกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่จัดเข้าพวก ทั้งสามประโยคที่กล่าวมาข้างต้น และมีกฎเกณฑ์สลับซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Kitti can not remember whose book it is, so he asks his friend.
ท่านกิตติไม่สามารถจำว่าหนังสือนี้เป็นของใครได้ ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนของเขา
- Venerable Manop does not understand what teacher explains, yet he writes it down in his note book.
ท่านมานพไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูกำลังอธิบาย ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็ได้จดมันไว้ในสมุดจดบันทึกของเขา
ฯลฯ
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า compound - complex sentence (ประโยคความผสมหรือสังกรอเนกัตถประโยค) มีประโยคเล็กที่เรียกว่า clause (อนุประโยค) แทรกเขามาท่ามกลาง Compound Sentence (ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค)
สรุป
Sentence หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือhttp://www.blogger.com/img/blank.gif
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค) แบ่งออกเป็น6คือ
1.1 ประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence)
1.2 ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence )
1.3 ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence)
1.4 ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
1.5 ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
1.6 ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence (ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
เครดิต : http://www.bobaetower.com/webboard/index.php?topic=7525.0
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Love will die if held too tightly
Love will die if held too tightly;
love will fly if held too lightly.
(Oscar Wilde)
ความรักจะเฉาตายถ้ายึดจับไว้แน่นเกินไป
และความรักจะจรจาก ถ้าจับไว้อย่างบางเบา
love will fly if held too lightly.
(Oscar Wilde)
ความรักจะเฉาตายถ้ายึดจับไว้แน่นเกินไป
และความรักจะจรจาก ถ้าจับไว้อย่างบางเบา
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
AWKWARD อ๊อค-เวิร์ด
AWKWARD
ADJ. งุ่มง่าม
relate:{ติดขัด}{ที่ดูไม่คล่องแคล่ว}
syn:(clumsy)(inept)(ungraceful)(unskillful)
ADJ. ที่ไม่สะดวกสบาย
syn:(inconvenient)(incommodious)
awkward (ออค'เวิร์ด) adj. งุ่มง่าม, เชื่องช้า, เคอะเขิน, เก้งก้าง,
ไม่รู้จะทำอย่างไรดี, อึดอัดใจ, อันตราย, ยากที่จะจัดการได้, ไม่สะดวก,
ไม่เหมาะ -awkwardness n.
Synonym: gawky, ungainly
awkward age
วัยหนุ่มวัยสาวแรกเริ่ม
awkward อ่านว่า อ๊อค-เวิร์ด มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า awke ที่แปลว่า เดินผิดทาง ปัจจุบัน ถ้าเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ความกระอักกระอ่วน ความลำบากใจ เมื่อใช้เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า แปลกประหลาด
Sania will have to manage her awkward world. ซาเนียจะต้องทนอยู่กับความกระอักกระอ่วนใจนี้ให้ได้..
เอาบทความให้กำลังใจกับสาวน้อยซาเนีย
...She has played for India (and proudly), and will continue to do so, but on the tour she should remember what Tiger Woods said last week: You dont win for anyone else. You do it for yourself and your familyฆ.. You dont play for pleasing the media, the sponsors, the fans or anything like that.ฆ
แปลว่า ......เธอเล่น (เทนนิส) ให้กับอินเดีย (อย่างเต็มภาคภูมิ) และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป แต่ในการแข่งขันเธอควรระลึกถึงคำที่ไทเกอร์ วู้ดส์ กล่าวไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า คุณไม่ได้ชนะเพื่อคนอื่น คุณชนะเพื่อตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ...คุณไม่ต้องเล่นเพื่อเอาใจสื่อมวลชน สปอนเซอร์ แฟนๆ หรือใครอื่นทำนองนั้น...
เพิ่งจะมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นหนักหนา เมื่อได้อ่านปาฐกถาของท่านอดีตนายกฯอานันท์ในงานเสวนาของ สนช. (ตีพิมพ์ใน 25มติชน ฉบับวันที่ 6 ก.พ. 51) ที่กล่าวว่า ถ้าเสียงข้างมากไม่ดีแล้วประเทศชาติจะอยู่รอดได้อย่างไร ที่ตีขนดหางทางความคิด ว่าคนไทยเข้าใจคำว่า ประชาธิปไตย เพียงไหน
เขียนแต่งเป็นประโยคได้ว่า
..Many scholars feel awkward with Mr. Arnands comment on the direction Thai-style democracy leads the country..
แปลว่า นักวิชาการหลายท่านรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับความเห็นของคุณอานันท์ถึงทิศทางที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ จะนำพาประเทศไป
ADJ. งุ่มง่าม
relate:{ติดขัด}{ที่ดูไม่คล่องแคล่ว}
syn:(clumsy)(inept)(ungraceful)(unskillful)
ADJ. ที่ไม่สะดวกสบาย
syn:(inconvenient)(incommodious)
awkward (ออค'เวิร์ด) adj. งุ่มง่าม, เชื่องช้า, เคอะเขิน, เก้งก้าง,
ไม่รู้จะทำอย่างไรดี, อึดอัดใจ, อันตราย, ยากที่จะจัดการได้, ไม่สะดวก,
ไม่เหมาะ -awkwardness n.
Synonym: gawky, ungainly
awkward age
วัยหนุ่มวัยสาวแรกเริ่ม
awkward อ่านว่า อ๊อค-เวิร์ด มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า awke ที่แปลว่า เดินผิดทาง ปัจจุบัน ถ้าเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ความกระอักกระอ่วน ความลำบากใจ เมื่อใช้เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า แปลกประหลาด
Sania will have to manage her awkward world. ซาเนียจะต้องทนอยู่กับความกระอักกระอ่วนใจนี้ให้ได้..
เอาบทความให้กำลังใจกับสาวน้อยซาเนีย
...She has played for India (and proudly), and will continue to do so, but on the tour she should remember what Tiger Woods said last week: You dont win for anyone else. You do it for yourself and your familyฆ.. You dont play for pleasing the media, the sponsors, the fans or anything like that.ฆ
แปลว่า ......เธอเล่น (เทนนิส) ให้กับอินเดีย (อย่างเต็มภาคภูมิ) และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป แต่ในการแข่งขันเธอควรระลึกถึงคำที่ไทเกอร์ วู้ดส์ กล่าวไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า คุณไม่ได้ชนะเพื่อคนอื่น คุณชนะเพื่อตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ...คุณไม่ต้องเล่นเพื่อเอาใจสื่อมวลชน สปอนเซอร์ แฟนๆ หรือใครอื่นทำนองนั้น...
เพิ่งจะมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นหนักหนา เมื่อได้อ่านปาฐกถาของท่านอดีตนายกฯอานันท์ในงานเสวนาของ สนช. (ตีพิมพ์ใน 25มติชน ฉบับวันที่ 6 ก.พ. 51) ที่กล่าวว่า ถ้าเสียงข้างมากไม่ดีแล้วประเทศชาติจะอยู่รอดได้อย่างไร ที่ตีขนดหางทางความคิด ว่าคนไทยเข้าใจคำว่า ประชาธิปไตย เพียงไหน
เขียนแต่งเป็นประโยคได้ว่า
..Many scholars feel awkward with Mr. Arnands comment on the direction Thai-style democracy leads the country..
แปลว่า นักวิชาการหลายท่านรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับความเห็นของคุณอานันท์ถึงทิศทางที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ จะนำพาประเทศไป
วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
CONDITIONAL FROMS & WISH FORMS
CONDITIONAL FROMS & WISH FORMS
หรือประโยคเงื่อนไข หมายถึง ประโยคที่สมมติ หรือคาดคะเนว่า
"ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามขึ้นมา" แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
คือ
1. เงื่อนไขที่เป็นความจริงเสมอ (หรือคาดว่าจะเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย)
2. เงื่อนไขที่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ (หรือไม่อาจเป็นจริงได้เลย)
3. เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว)
เงื่อนไขแบบที่ 1 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. จะต้องเป็นจริงเสมอ
ข. ผู้พูดแน่ใจว่าเป็นไปได้จริง ๆ
ลักษณะประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 มีดังนี้
IF + PRESENT + FUTURE
หรือ IF + PRESENT + PRESENT
หรือ IF +PRESENT + IMPERATIVE
เช่น If the sun rise, it will be a day.
หรือ If the sun rise, it is a day.
ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นกลางวัน (เป็นความจริง)
If we have no eye, we will see nothing.
หรือ If we have no eye, we see nothing
ถ้าเราไม่มีดวงตาก็จะไม่เห็นอะไรเลย
If I study hard, I will be the first in class.
หรือ If I study hard, I am the first in class.
ถ้าฉันขยันเรียนก็จะสอบได้ที่ 1 (พูดแบบมั่นใจในตัวเอง)
If you read this story, you will enjoy it.
หรือ If you read this story, you enjoy it.
ถ้าคุณอ่านเรื่องนี่คุณจะชอบ (แน่ใจว่าต้องชอบแน่ๆ)
ตัวอย่างในรูป IF + PRESENT + ประโยค IMPERATIVE
ประโยค IMPERATIVE คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำกริยา
(VERB) เช่น
Give me some books.
Wash it yourself.
Turn the light on.
เช่น If you meet your teacher, ask him about that problem.
ถ้าคุณเจอครูก็ถามปัญหานั้นสิ
If you really need it, buy it.
ถ้าคุณต้องการมันจริงๆก็ซื้อมันสิ
เงื่อนไขแบบที่ 2 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ (ไม่แน่ใจ)
ข. ไม่อาจเป็นจริงได้เลย
ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 มีดังนี้
IF + PAST SIMPLE + WOULD* + VERB 1
เช่น If he studied hard,he would succeed.
ถ้าเขาขยันเขาก็จะได้รับความสำเร็จ (พูดในลักษณะไม่แน่ใจเท่าไร)
If he saw Ladda, he would speak to her.
ถ้าเขาเจอลัดดา เขาจะพูดกับเธอ (ไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดด้วยหรือเปล่า)
If they drove more slowly, they would miss the train.
ถ้าเขาช้ากว่านี้ เขาจะไม่ทันรถไฟ (ก็ไม่แน่ช้าอาจจะทันก็ได้)
If I were you, I would love her.
ถ้าแนเป็นคุณฉันจะรักเธอ (เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักคุณ)
If she were a bird, she would sing all day.
ถ้าเธอเป็นนกเธอจะต้องร้องเพลงทั้งวัน(เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นนก)
ในลักษณะแบบที่ 2 นี้อาจจะใช้รูปนี้แทนก็ได้ (ความหมายเหมือนกัน)
IF + WERE TO + VERB 1 + WOULD* + VERB 1
เช่น If you worked harder, you would get good grades.
= If you were to work harder, you will get good grades.
ถ้าคุณเรียนอย่างจริงจังก็จะได้คะแนนมาก
If you come to our party, I would be glad.
= If you were to come to our party, I would be glad.
ถ้าคุณมางานเลี้ยงของเราได้ ฉันจะมีความสุขมาก
If you spoke louder, everyone would hear you.
= If you were to speak louder, everyone would hear you.
ถ้าคุณพูดดังกว่านี้ ทุก ๆ คนก็จะได้ยินคุณ
อาจจะใช้ WERE ไปวางไว้หน้าประโยคได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง เช่น
If he come to party, I would be glad.
If he were to come to our party, I would be glad.
Were he to come to our party, I would be glad.
Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้
เงื่อนไขแบบที่ 3 มีลักษณะสำคัญดังคือ
ก. ตรงข้ามกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ข. เป็นการสมมติเรื่องที่ผ่านมาในอดีต
ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 มีดังนี้
IF + PART PERFECT + WOULD*+ HAVE + VERB 1
เช่น If he had known the truth, he would have been angry.
ถ้าเขาทราบความจริงเขาจะโกรธมาก
(ความเป็นจริง เขาไม่ทราบความจริงและเขาก็ไม่ได้โกรธ)
If he had had your address, he would have written to you.
ถ้าเขามีที่อยู่ของคุณเขาคงเขียนจดหมายมาแล้ว
(ในความเป็นจริงเขาไม่มีที่อยู่และก็ไม่ได้เขียนจดหมายมาด้วย "ในอดีต") เช่น
If you had come yesterday you would have met her.
ถ้าเมื่อวานนี้คุณมาก็เจอเธอ (ความจริงไม่ได้มาวานนี้ และก็ไม่เจอด้วย)
Wish Forms หรือความปรารถนา มีกี่ลักษณะ
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่า FACT และ WISH ก่อน
FACT คือ ความจริงตรงตามเวลาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจริง เช่น
The earth is round.
โลกกลม
We have only one sun.
เรามีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว
WISH คือ ความปรารถนา ความต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ( Impossible ) เช่น
I wish the earth were flat.
ฉันปรารถนาให้โลกแบน
I wish we hand two suns.
ฉันปรารถนาให้ดวงอาทิตย์มีสองดวง
ลักษณะของความปราถนา
1. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในปัจจุบัน Present time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "Wish" ต้องอยู่ในรูป Past simple ( Subj + Verb 2)
เสมอแม้จะมีความหมายเป็นปัจจุบัน และในกรณีที่จะต้องใน V to be
ก็ใช้ได้เฉพาะ Were เท่านั้น ไม่ว่าประะานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น
FACT : I am poor man. ฉันเป็นคนจน
WISH : I wish I were a rich man ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรวย
FACT : I am not handsome ฉันเป็นคนไม่หล่อ
WISH : I wish I were handsome. ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรูปหล่อ
2. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอดีต Past time มีลักษณะสำคัญคือ
ประโยคหลัง "wish" เป็นรูป Past Perfect (Subj + Verb 3 ) เสมอ
และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ต้องใช้ในรูป had been
FACT : I was very poor last year. ปีที่แล้วฉันจน
WISH : I wish I had been rich last year ตอนนี้ฉันปรารถนาที่จะรวยเมื่อปีที่แล้ว
FACT : I didn't lived in Bangkok last month.
เดือนที่แล้วไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ
WISH : I wish I had lived in Bangkok last month.
ตอนนี้ฉันปรารถนาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้ว
3. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอนาคต Future time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "wish" ใช้รูป would + V 1 เสมอ และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ใช้ในรูป would be เช่น
FACT : John cannot speak Thai well.
จอนห์พูดภาษาไทยได้ไม้ค่อยดี
WISH : John wishes he could speak Thai well.
จอนห์ปรารถนาที่จะพูดได้ดีในอนาคต
FACT : He will be a teacher next year.
ปีหน้าเขาจะเป็นครู
WISH : I wish he would not be a teacher next year.
ฉันไม่ปรารถนาให้เขาเป็นครู
กลุ่มคำที่ใช้เช่นเดียวกับ WISH มีดังนี้คือ
If only ถ้าเพียงแต่ว่า
It's the time ถึงเวลาที่, เป็นเวลาที่
I'd rather ฉันอยากที่จะได้
If only I went there. ถ้าเพียงแต่ว่าฉันไม่ไปที่นั้นที่เดี๋ยวนี้
If only I had gone there. (รูปอดีต)
It's the time you had breakfast. ถึงเวลาที่คุณทานอาหารเช้าแล้ว
I'd rather you had been there last week. ฉันอยากให้คุณอยู่ที่นั่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้
หรือประโยคเงื่อนไข หมายถึง ประโยคที่สมมติ หรือคาดคะเนว่า
"ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามขึ้นมา" แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
คือ
1. เงื่อนไขที่เป็นความจริงเสมอ (หรือคาดว่าจะเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย)
2. เงื่อนไขที่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ (หรือไม่อาจเป็นจริงได้เลย)
3. เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว)
เงื่อนไขแบบที่ 1 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. จะต้องเป็นจริงเสมอ
ข. ผู้พูดแน่ใจว่าเป็นไปได้จริง ๆ
ลักษณะประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 มีดังนี้
IF + PRESENT + FUTURE
หรือ IF + PRESENT + PRESENT
หรือ IF +PRESENT + IMPERATIVE
เช่น If the sun rise, it will be a day.
หรือ If the sun rise, it is a day.
ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นกลางวัน (เป็นความจริง)
If we have no eye, we will see nothing.
หรือ If we have no eye, we see nothing
ถ้าเราไม่มีดวงตาก็จะไม่เห็นอะไรเลย
If I study hard, I will be the first in class.
หรือ If I study hard, I am the first in class.
ถ้าฉันขยันเรียนก็จะสอบได้ที่ 1 (พูดแบบมั่นใจในตัวเอง)
If you read this story, you will enjoy it.
หรือ If you read this story, you enjoy it.
ถ้าคุณอ่านเรื่องนี่คุณจะชอบ (แน่ใจว่าต้องชอบแน่ๆ)
ตัวอย่างในรูป IF + PRESENT + ประโยค IMPERATIVE
ประโยค IMPERATIVE คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำกริยา
(VERB) เช่น
Give me some books.
Wash it yourself.
Turn the light on.
เช่น If you meet your teacher, ask him about that problem.
ถ้าคุณเจอครูก็ถามปัญหานั้นสิ
If you really need it, buy it.
ถ้าคุณต้องการมันจริงๆก็ซื้อมันสิ
เงื่อนไขแบบที่ 2 มีลักษณะสำคัญคือ
ก. อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ (ไม่แน่ใจ)
ข. ไม่อาจเป็นจริงได้เลย
ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 มีดังนี้
IF + PAST SIMPLE + WOULD* + VERB 1
เช่น If he studied hard,he would succeed.
ถ้าเขาขยันเขาก็จะได้รับความสำเร็จ (พูดในลักษณะไม่แน่ใจเท่าไร)
If he saw Ladda, he would speak to her.
ถ้าเขาเจอลัดดา เขาจะพูดกับเธอ (ไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดด้วยหรือเปล่า)
If they drove more slowly, they would miss the train.
ถ้าเขาช้ากว่านี้ เขาจะไม่ทันรถไฟ (ก็ไม่แน่ช้าอาจจะทันก็ได้)
If I were you, I would love her.
ถ้าแนเป็นคุณฉันจะรักเธอ (เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักคุณ)
If she were a bird, she would sing all day.
ถ้าเธอเป็นนกเธอจะต้องร้องเพลงทั้งวัน(เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นนก)
ในลักษณะแบบที่ 2 นี้อาจจะใช้รูปนี้แทนก็ได้ (ความหมายเหมือนกัน)
IF + WERE TO + VERB 1 + WOULD* + VERB 1
เช่น If you worked harder, you would get good grades.
= If you were to work harder, you will get good grades.
ถ้าคุณเรียนอย่างจริงจังก็จะได้คะแนนมาก
If you come to our party, I would be glad.
= If you were to come to our party, I would be glad.
ถ้าคุณมางานเลี้ยงของเราได้ ฉันจะมีความสุขมาก
If you spoke louder, everyone would hear you.
= If you were to speak louder, everyone would hear you.
ถ้าคุณพูดดังกว่านี้ ทุก ๆ คนก็จะได้ยินคุณ
อาจจะใช้ WERE ไปวางไว้หน้าประโยคได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง เช่น
If he come to party, I would be glad.
If he were to come to our party, I would be glad.
Were he to come to our party, I would be glad.
Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้
เงื่อนไขแบบที่ 3 มีลักษณะสำคัญดังคือ
ก. ตรงข้ามกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ข. เป็นการสมมติเรื่องที่ผ่านมาในอดีต
ลักษณะประโยคของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 มีดังนี้
IF + PART PERFECT + WOULD*+ HAVE + VERB 1
เช่น If he had known the truth, he would have been angry.
ถ้าเขาทราบความจริงเขาจะโกรธมาก
(ความเป็นจริง เขาไม่ทราบความจริงและเขาก็ไม่ได้โกรธ)
If he had had your address, he would have written to you.
ถ้าเขามีที่อยู่ของคุณเขาคงเขียนจดหมายมาแล้ว
(ในความเป็นจริงเขาไม่มีที่อยู่และก็ไม่ได้เขียนจดหมายมาด้วย "ในอดีต") เช่น
If you had come yesterday you would have met her.
ถ้าเมื่อวานนี้คุณมาก็เจอเธอ (ความจริงไม่ได้มาวานนี้ และก็ไม่เจอด้วย)
Wish Forms หรือความปรารถนา มีกี่ลักษณะ
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่า FACT และ WISH ก่อน
FACT คือ ความจริงตรงตามเวลาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจริง เช่น
The earth is round.
โลกกลม
We have only one sun.
เรามีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว
WISH คือ ความปรารถนา ความต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ( Impossible ) เช่น
I wish the earth were flat.
ฉันปรารถนาให้โลกแบน
I wish we hand two suns.
ฉันปรารถนาให้ดวงอาทิตย์มีสองดวง
ลักษณะของความปราถนา
1. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในปัจจุบัน Present time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "Wish" ต้องอยู่ในรูป Past simple ( Subj + Verb 2)
เสมอแม้จะมีความหมายเป็นปัจจุบัน และในกรณีที่จะต้องใน V to be
ก็ใช้ได้เฉพาะ Were เท่านั้น ไม่ว่าประะานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น
FACT : I am poor man. ฉันเป็นคนจน
WISH : I wish I were a rich man ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรวย
FACT : I am not handsome ฉันเป็นคนไม่หล่อ
WISH : I wish I were handsome. ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนรูปหล่อ
2. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอดีต Past time มีลักษณะสำคัญคือ
ประโยคหลัง "wish" เป็นรูป Past Perfect (Subj + Verb 3 ) เสมอ
และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ต้องใช้ในรูป had been
FACT : I was very poor last year. ปีที่แล้วฉันจน
WISH : I wish I had been rich last year ตอนนี้ฉันปรารถนาที่จะรวยเมื่อปีที่แล้ว
FACT : I didn't lived in Bangkok last month.
เดือนที่แล้วไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ
WISH : I wish I had lived in Bangkok last month.
ตอนนี้ฉันปรารถนาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้ว
3. ความปรารถนาที่จะให้เป็นไปในอนาคต Future time มีลักษณะสำคัญดังนี้
ประโยคหลัง "wish" ใช้รูป would + V 1 เสมอ และในกรณีที่ต้องใช้ V to be ใช้ในรูป would be เช่น
FACT : John cannot speak Thai well.
จอนห์พูดภาษาไทยได้ไม้ค่อยดี
WISH : John wishes he could speak Thai well.
จอนห์ปรารถนาที่จะพูดได้ดีในอนาคต
FACT : He will be a teacher next year.
ปีหน้าเขาจะเป็นครู
WISH : I wish he would not be a teacher next year.
ฉันไม่ปรารถนาให้เขาเป็นครู
กลุ่มคำที่ใช้เช่นเดียวกับ WISH มีดังนี้คือ
If only ถ้าเพียงแต่ว่า
It's the time ถึงเวลาที่, เป็นเวลาที่
I'd rather ฉันอยากที่จะได้
If only I went there. ถ้าเพียงแต่ว่าฉันไม่ไปที่นั้นที่เดี๋ยวนี้
If only I had gone there. (รูปอดีต)
It's the time you had breakfast. ถึงเวลาที่คุณทานอาหารเช้าแล้ว
I'd rather you had been there last week. ฉันอยากให้คุณอยู่ที่นั่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
Would* สามารถใช้ should, could, might แทนได้
ARTICLE- A , AN,DEFINITE ARTICLE - THE,SOME , ANY , NO , NONE , COMPOUND WORD,EVERYBODY , EVERYONE , EVERYTHING , EVERY
ARTICLE - A , AN
A , AN เรียกว่า Indefinite Articles
วิธีใช้
1. A ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ( consonant sound )
A professor a lawyer a fresh egg
A student a soldier a ripe orange
2. A ใช้นำหน้าคำที่ออกเสียงเหมือนกับขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
แม้ว่าคำๆนั้นจะขึ้นต้นด้วยสระก็ตาม ( ออกเสียงเหมือนกับพยัญชนะ y )
A European a uniform a united front
A union a university a usual occurrence
A used car a useful book
1. AN ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ ( vowel sound )
An elephant an uncle an old house
2. AN ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ " h" แต่เวลาอ่านไม่
ออกเสียง"h" ( silent h ) จะออกเสียงสระตัวต่อไปแทน
An hour an honest girl an honour
3. A , AN ใช้เมื่อกล่าวถึงความเร็ว ( speed ) ราคา ( price )
จำนวน ( number ) และสัดส่วน ( ratio )
The car was going forty kilometres an hour.
รถยนต์วิ่งด้วยอัตราความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Egg cost fifteen baht a dozen.
ไข่ราคา 50 บาทต่อหนึ่งโหล
4. A , AN นิยมใช้กับสำนวน ( idiomatic phrases ) ได้แก่
to have a headache, to have cold , to have a pain ,
to have a cough , to have a fever
She had a cold yesterday. เธอเป็นหวัดเมื่อวานนี้
He has a pain at his back. เขาเจ็บปวดที่หลัง
ยกเว้น to have toothache, ear ache , influenza , rheumatism
5. A ใช้นำหน้า Mr. / Miss / Mrs. + surname (นามสกุล)
เพื่อแสดงว่าผู้พูดไม่รูจักคนๆนั้นเนื่องจากคนนั้นเป็นคนแปลก
หน้าในสายตาของผู้พูด ผู้พูดไม่เคยพบมาก่อน
A Mr. John has called to see you.
มีคนๆ หนึ่งชื่อจอห์นมาหาคุณ ( แสดงว่าผู้พูดไม่รู้จักมักคุ้นกับนายจอห์น)
A ใช้ในกรณีพิเศษ (Special Uses of 'A' ) ต่อไปนี้
1. A ใช้หลังคำว่า such , what , เช่น
He has such a bad headache that he has to go to bed.
เขาปวดศีรษะจนต้องไปนอน
What a funny place to live!
ถ้าหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ เราก็ใช้ an ได้ด้วยกฎเกณฑ์การใช้ an ที่กล่าวมา
แล้วข้างต้นดังตัวอย่าง
2. A ใช้หลังคำต่อไปนี้ คือ not a , many a , quite a , rather a ดังตัวอย่าง
Not a man volunteered.
ไม่มีใครสักคนอาสาสมัคร
Many a man has volunteered to fight for his country.
มีคนจำนวนมากอาสาสมัครเข้าต่อสู้เพื่อประเทศ
Rather a large crowd gathered to hear the speaker.
มีฝูงชนจำนนมากทีเดียวที่เข้ามาฟังผู้พูด
There was quite a large crowd in the street.
มีฝูงชนมากมายทีเดียวในถนน
3. A ใช้หน้า noun quantifiers ต่อไปนี้ คือ a few , a lot of ,
a little
Would you please give me a few examples ?
คุณกรุณาให้ตัวอย่างสักหน่อยได้ไหมครับ
There are a lot of students in this school.
มีเด็กจำนวนมากในโรงเรียนนี้
Give me a little sugar, please.
ขอน้ำตาลหน่อยครับ
4. A ใช้หลัง so/too + adjective +singular noun ดังตัวอย่าง
She is so sensible a girl to do a thing like that.
เธอเป็นที่มีความรู้สึกไวมากเกินไปจะทำสิ่งนั้น
She is so sensible a girl that she could not do a thing like that.
เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกไวมากจนว่าเธอไม่สามารทำงานสิ่งนั้นได้
5. half an hour / a half hour เช่น
She waited for half an hour. ( a half hour )
เธอรอคอยมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว
6. A ใช้ในสำนวน ( idioms ) ต่อไปนี้
ก. หลังกริยา make เช่น
make a bit for ประมูล , พยายามเอา
make a book เป็นเจ้ามือ
make a clean breast of it สารภาพหมดทุกอย่าง
make a fool of หลอก , ต้มตุ๋น
make a fortune ร่ำรวย
make a habit of ทำเป็นเนืองนิจ
make a hole ทรัพย์สมบัติพร่องไป
make a night of it สนุกกันทั้งคืน
make a noise in the world หาชื่อเสียง
make a point of ถือเป็นข้อสำคัญ
make a difference ทำให้แปลก
make a living หาเลี้ยงชีพ
make a start เริ่ม
make a practice of ทำเป็นเนืองนิตย์
ข. หลังกริยา take เช่น
take a trip เดินทาง
take a back seat เป็นช้างเท้าหลัง
take a chance ลองเสี่ยงโชค
take a deep breath หายใจยาว
take a glance มองดู
take a holiday หยุดพักผ่อน
take a photo ถ่ายรูป
take a walk เดินเที่ยว
ค. หลังกริยาอื่นๆ เช่น
do a favor ช่วยเหลือ
become a reality กลายเป็นความจริง
tell a lie โกหก
play a joke เล่นตลก
play a trick เล่นโกง
call a halt หยุด
ช. A ใช้บุพบทวลี (prepositional phrases ) เช่น
in a hurry โดยรีบเร่ง
as a result ผล
as a matter of fact อันที่จริง
as a rule ตามกฎเกณฑ์
for a long time เป็นระยะเวลายาวนาน
ไม่ใช้ A , AN ในกรณีต่อไปนี้
1. นามพหูพจน์ ( plural nouns ) ทั้งนี้เพราะ A , AN
แปลว่า " หนึ่ง" จะนำมาใช้ในความหมายพหูพจน์ไม่ได้
Owls are animal. นกเค้าแมวเป็นสัตว์
Cows give milk. วัวให้นม
Dogs bark. สุนัขเห่า
2. นามนับไม่ได้ ( uncountable nouns ) เช่น advice ,
information , news
, baggage , luggage เป็นต้น
He gave me good advice. เขาให้คำแนะนำที่ดีแก่ฉัน
Furniture makes my room beautiful. เฟอร์นิเจอร์ทำให้ห้องของฉันสวย
หมายเหตุ เมื่อ A , AN ไม่สามารใช้ได้ทั้งกับนามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ในกรณี
ีที่ต้องการระบุจำนวนที่ไม่ชี้จำเพาะเจาะจง
อาจใช้ some นำหน้าได้ทั้งกับนามพหูพจน์และนามนับไม่ได้
There is some milk in the bottle. มีนมอยู่บ้างในขวด
I see some student playing football. ฉันเห็นเด็กบางคนกำลังเล่นฟุตบอล
นอกจากนี้ยังสามารถใช้คำสำนวนเหล่านี้กับนามนับไม่ได้
เช่น a little , little , a lot of เป็นต้น
He has a lot of luggage. เขามีกระเป๋าเดินทางมาก
3. นามนับไม่ได้ เช่น glass , wood . iron , stone ,
paper , cloth ,milk , tea , money , grass , corn เป็นต้น
I write on paper. ฉันเขียนบนกระดาษ
Tables are made of wood. โต๊ะทำด้วยไม้
นามนับไม่ได้เหล่านี้ ถ้าต้องการจะใช้แบบนามนับได้
จะต้องเพิ่มกลุ่มคำเข้าไปข้างหน้าคั่นด้วยบุพบท "of "
เพื่อจะบอกจำนวนปริมาณที่แน่นอน
เช่น a bottle of whisky , a pieces of paper , a tin of milk เป็นต้น
4. คำนามนามธรรม ( abstract nouns ) คือ คำนามที่แสดงความรู้สึก
อุดมคติ คำเหล่านี้ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม้ได้ เช่น truth ,
beauty , happiness , fear , joy เป็นต้น
Beauty is truth. ความงามคือความจริง
Everyone needs happiness. ทุกคนต้องการความสุข
DEFINITE ARTICLE - THE
The เรียกว่า Definite Article ใช้นำหน้านามนับได้ นาบนับไม่ได้
้นามเอกพจน์และพหูพจน์ ที่ต้องการเจาะจงชี้เฉพาะลงไปว่าเป็นบุคคลนั้น สิ่งนั้น
มิใช่เป็นบุคคลหรือสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งลอยๆ
วิธีใช้
1. The ใช้นำหน้านามที่ต้องการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นบุคคล
สิ่งนั้น โดยปกติเราจะเห็นว่ามีประโยคที่ชี้จำเพาะอยู่
This is the cat with caught the rat.
นี้คือแมวตัวที่จับหนูตัวนั้นได้
The boy over there is my brother.
เด็กชายคนที่อยู่ตรงนั้นคือน้องชายของฉัน
2. The ใช้นำหน้านามที่มีอยู่เพียงสิ่งเดียว ( only one ) รวมไปถึงชื่อของทะเล , มหาสมุทร , แม่น้ำ , หมู่เกาะ ,
เทือกเขา, (ยกเว้นชื่อภูเขา) , ชื่อประเทศที่มีคำว่า
" united , union , republic " ประกอบอยู่ด้วย
เช่น the Republic of Colombia , the Kingdom of Thailand
, the Dominion of Canada , the British Commonwealth ,
the Netherlands เป็นต้น
The earth moves around the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
The Nile River flow into the Mediterranean Sea.
แม่น้ำไนล์ไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
Moscow is the capital of the USSR.
มอสโกเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต
3. The ใช้นำหน้าขั้นสุด ( Superlative ) และลำดับที่
( ordinal number )
Diamond is the hardest substance.
เพชรเป็นวัตถุที่แข็งที่สุด
Broadway is the longest street in the world.
บรอดเวย์เป็นถนนที่ยาวที่สุดในโลก
She was the first woman from here to become a doctor.
เธอเป็นสตรีคนแรกที่นี่ที่เป็นหมอ
4. The ใช้นำหน้าชื่อของเครื่องดนตรี ( musical instruments )
Many children play the piano.
มีเด็กหลายคนเล่นเปียโน
He likes to play the guitar.
เขาชอบเล่นกีตาร์
5. The ที่ใช้นำหน้าคำคุณศัพท์ ( adjectives )
ที่นำมาใช้เป็นคำนาม หมายถึงระดับชั้นของบุคคล เช่น
The old ( คนแก่ )
the dumb ( คนใบ้ )
The young ( คนหนุ่ม )
the sick ( คนป่วย )
The poor ( คนจน )
the injured ( คนที่ได้รับบาดเจ็บ )
The blind ( คนตาบอด )
the Japanese ( ชาวญี่ปุ่น )
6. The ใช้นำหน้าชื่อของภาษาที่มีคำว่า " language " อยู่ด้วย
The Spanish language is easy to study.
ภาษาสเปนเรียนง่าย
7.The ใช้นำหน้าที่เป็นบุคคลหรือสิ่งของที่กล่าวถึงมาก่อนแล้ว ครั้งหนึ่ง
I see some boy and girl. The boys are playing football.
ฉันเห็นเด็กชายและเด็กหญิงบางคน เด็กชายกำลังเล่นฟุตบอล
8. The ใช้นำหน้านามที่เป็นชื่อของอาณาจักรหรือราชวงศ์ ฯลฯ
The Ottoman Empire
The Ming Dynasty
The British Commonwealth of Nations
9. The ใช้นำหน้านามที่เป็นชื่อของทะเลทราย คลอง และป่า
The Suez Canal
The Sahara Desert
The Black Forest
10. The ใช้นำหน้าคำที่ใช้บอกตำแหน่งที่ตั้งภูมิศาสตร์
The south the middle West
The Orient the Near East
The ใช้ในกรณีพิเศษ ( Special Uses of " The " ) ดังต่อไปนี้
1. ใช้ในสำนวน ต่อไปนี้
make the bed wash the dishes
play the fool in the long run
at the mercy of on the order hand
on the whole clean the table
tell the truth by the way
in the least on (the) one hand
on the contrary
ไม่ใช้ THE ในกรณีต่อไปนี้
1. ชื่อประเทศ ที่ไม่มีคำว่า republic , united , union อยู่ด้วย
He lives in Australia.
เขาอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย
It comes from Japan.
มันมาจากญี่ปุ่น
2. ชื่อรัฐ, จังหวัด , เมือง เช่น Bangkok , Boston , Kansas , Missouri
ยกเว้น the state of Kansas the state of Oklahoma
the city of Boston the province of Quebec
3. ชื่อโรคภัยไข้เจ็บ ( diseases ) หรือ ความผิดปกติทางกายอื่นๆ
My sister is ill ; she has influenza.
น้องสาวของฉันป่วยเธอเป็นไข้หวัดใหญ่
He has pneumonia.
เขาเป็นโรคปอดอักเสบ
4. ชื่อถนน เช่น Petchbury Road , Brewster Road , Fourth Avenue
5. ชื่อสวนสาธารณะ เช่น Lumpini Park , St. Park , Hyde Park
6. ชื่อมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน สถาบัน เช่น
Srinakharinwirot University
Rice College
Darasamutr School
ยกเว้น ในกรณีที่สถานที่เหล่านี้มีบุพบท " of " คั่นอยู่ต้องมี " the"
7. ชื่อตึกและอาคาร เช่น Choke Chai Building , Nation Hall
ยกเว้น
the Empire State Building
the Medical - Dental Building
the Civic Auditorium
the Woolworth Building
the Coliseum
8. ชื่อเกมกีฬา เช่น football , tennis , chess , …….
ยกเว้น ถ้ามีคำประกอบข้างท้ายชื่อของเกมกีฬา จะต้องมี Article
9. ชื่อภาษาที่ไม่มีคำว่า " language " อยู่ด้วย
He likes to study English.
เขาชอบเรียนภาษาอังกฤษ
I can speak French a little.
ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดหน่อย
John can speak Thai very well.
จอห์นพูดภาษาไทยได้ดีมาก
10. ชื่อมื้ออาหาร , ฤดูกาล ไม่ใช้ "the"
We shall have breakfast in that restaurant.
เราจะทานอาหารเช้ากันในภัตตาคารแห่งนั้น
It is very hot in summer.
อากาศร้อนจัดในฤดูร้อน
11. ชื่อสัญชาติ ( Nationality ) เช่น Thai , Japanese ,
American , Australian
แต่ถ้าหมายถึง ชั้นของบุคคล ต้องมี the เช่น the Japanese คนญี่ปุ่น
12. ไม่ใช่ Article - A,AN,THE กับสิ่งธรรมดาสามัญทั่วไป
(general sense)
Coffee is not good for children to drink.
กาแฟไม่ดีสำหรับเด็กที่จะดื่ม
Honesty is the most important policy for a good government.
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาล
13. ชื่อของบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช้ the
14. ปกติไม่ใช้ Article - A,AN,THE หน้ school , market,
church , hospital , prison , bed
ยกเว้น ถ้าต้องการชี้จำเพาะเจาะจงลงไปแน่นอนว่าเป็นสถานที่นั้น
เท่านั้น จึงใช้ the
He has been sent to hospital.
เขาถูกส่งไปโรงพยาบาล
He was sent to prison for robbery.
เขาถูกส่งเข้าคุกฐานลักขโมย
He goes to church.
เขาไปสวดมนต์ที่โบสถ์
การใช้พิเศษ สำนวนต่อไปนี้จะไม่มี Article - A,AN.THE ได้แก่
make friend หาเพื่อน,เป็นเพื่อน
beg pardon ขอโทษ
make haste รีบเร่ง
make conversation พูดคุย
take care of ดูแล,เอาใจใส่
take heart มีใจขึ้น
take revenge ล้างแค้น
take steps จัดการ
by hand ด้วยมือตนเอง
by heart ท่องขึ้นใจ
by accident โดยบังเอิญ
by train (bus ,ship ,plane)โดยรถไฟ(รถยนต์,เรือ,เครื่องบิน)
in trouble ตกอยู่ในภาวะลำบาก
in fact อันที่จริง
on occasion บางครั้งบางคราว
on purpose โดยเจตนา
at last ในที่สุด
at time เป็นบางครั้งบางคราว
by means of โดยวิธี
in comparison with เปรียบเทียบกัน
SOME , ANY , NO , NONE , COMPOUND WORD
Some = จำนวนหนึ่ง มีอยู่บ้าง ใช้ในประโยคบอกเล่า
Any = ใช้แทน some ในประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม
No = not any ( หรือ not a )
วิธีใช้
1. ทั้งสามคำใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ถ้าใช้
นามนับได้นามตัวนั้น มักจะเป็นพหูพจน์
There is some milk in the jug.
มีนมบ้างอยู่ในเหยือก
Some boy are playing football in the field.
มีเด็กบางคนกำลังเล่นฟุตบอลในสนาม
Are there any books on the shelf ?
มีหนังสือบนหิ้งบ้างไหม
There aren't any (no) books on shelf.
ไม่มีหนังสือบนหิ้ง
There isn't any flour left in the bowl.
ไม่มีแป้งหลงเหลืออยู่เลยในกระปุก
2. เราสามารถใช้ " some " ในประโยคคำถามได ้
ถ้าเราคาดหวังว่าคนๆนั้นจะตอบรับว่า " Yes "
จากการถามของเรา หรือใช้ในการเชื้อเชิญ ( invitation ) หรือการขอร้อง ( request )
Are there some stamps in the drawer ?
( คำตอบที่คาดหวังคือ yes )
มีแสตมป์สักชิ้นบ้างไหม
Won't you have some more buiscuits ? ( เชื้อเชิญ )
คุณจะไม่ทานขนมบิสกิตบ้างหรือครับ
Can I have some more sugar in my coffee, please ? ( ขอร้อง)
ขอน้ำตาลใส่กาแฟหน่อยครับ
3. some , any ใช้เป็นสรรพนามได้
( คือ ใช้ลอยไม่มีนามตามหลัง )
แต่ no จะต้องมีนามตามหลังเสมอ ถ้าจะใช้เป็นสรรพนามต้องใช้ none แทน
( none ไม่ต้องมีนามตามหลัง )
(1) Have you any money ? คุณมีเงินบ้างไหม ?
No, I haven't any. I need some too.
ไม่ ฉันไม่มีเลย ฉันต้องการ(เงิน)บ้างเหมือนกัน
(2) I have no money. ฉันไม่มีเงินเลย
= I have none.
(3) I need none of your books. ฉันไม่ต้องการหนังสือเล่มใดของคุณ
4. Compound word (คำผสม) ที่มาจาก some, any, no ได้แก่
Someone anyone no one
Somebody anybody nobody
Something anything nothing
Somewhere anywhere nowhere
คำผสมเหล่านี้มีวิธีการใช้ ในทำนองเดียวกันกับ some, any และ no
ทุกคำข้างต้นใช้เป็นเอกพจน์เสมอ ฉะนั้นกริยาจึงต้องเป็นกริยาเอกพจน์
There is someone coming up the stairs.
มีบางคนกำลังขึ้นบันได
Both of them have gone somewhere.
ทั้งคู่คงไปที่ไหนสักแห่ง
Is there anybody at the door.
มีใครอยู่ที่ประตูไหม
He isn't anywhere in the house.
เขาไม่ได้อยู่ที่ไหนในบ้าน
EVERYBODY , EVERYONE , EVERYTHING , EVERY
Every = ทุกๆ
Everyone/Everybody = ทุกๆคน
Everything = ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้ง 4 คำนี้ใช้เป็นเอกพจน์เสมอ กริยาเป็นเอกพจน์
Everybody likes him.
ทุกคนชอบเขา
Everything is in order.
ทุกอย่างเป็นระเบียบดี
Every boy passes the exam.
ทุกคนผ่านการสอบ
A , AN เรียกว่า Indefinite Articles
วิธีใช้
1. A ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ( consonant sound )
A professor a lawyer a fresh egg
A student a soldier a ripe orange
2. A ใช้นำหน้าคำที่ออกเสียงเหมือนกับขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
แม้ว่าคำๆนั้นจะขึ้นต้นด้วยสระก็ตาม ( ออกเสียงเหมือนกับพยัญชนะ y )
A European a uniform a united front
A union a university a usual occurrence
A used car a useful book
1. AN ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ ( vowel sound )
An elephant an uncle an old house
2. AN ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ " h" แต่เวลาอ่านไม่
ออกเสียง"h" ( silent h ) จะออกเสียงสระตัวต่อไปแทน
An hour an honest girl an honour
3. A , AN ใช้เมื่อกล่าวถึงความเร็ว ( speed ) ราคา ( price )
จำนวน ( number ) และสัดส่วน ( ratio )
The car was going forty kilometres an hour.
รถยนต์วิ่งด้วยอัตราความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Egg cost fifteen baht a dozen.
ไข่ราคา 50 บาทต่อหนึ่งโหล
4. A , AN นิยมใช้กับสำนวน ( idiomatic phrases ) ได้แก่
to have a headache, to have cold , to have a pain ,
to have a cough , to have a fever
She had a cold yesterday. เธอเป็นหวัดเมื่อวานนี้
He has a pain at his back. เขาเจ็บปวดที่หลัง
ยกเว้น to have toothache, ear ache , influenza , rheumatism
5. A ใช้นำหน้า Mr. / Miss / Mrs. + surname (นามสกุล)
เพื่อแสดงว่าผู้พูดไม่รูจักคนๆนั้นเนื่องจากคนนั้นเป็นคนแปลก
หน้าในสายตาของผู้พูด ผู้พูดไม่เคยพบมาก่อน
A Mr. John has called to see you.
มีคนๆ หนึ่งชื่อจอห์นมาหาคุณ ( แสดงว่าผู้พูดไม่รู้จักมักคุ้นกับนายจอห์น)
A ใช้ในกรณีพิเศษ (Special Uses of 'A' ) ต่อไปนี้
1. A ใช้หลังคำว่า such , what , เช่น
He has such a bad headache that he has to go to bed.
เขาปวดศีรษะจนต้องไปนอน
What a funny place to live!
ถ้าหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ เราก็ใช้ an ได้ด้วยกฎเกณฑ์การใช้ an ที่กล่าวมา
แล้วข้างต้นดังตัวอย่าง
2. A ใช้หลังคำต่อไปนี้ คือ not a , many a , quite a , rather a ดังตัวอย่าง
Not a man volunteered.
ไม่มีใครสักคนอาสาสมัคร
Many a man has volunteered to fight for his country.
มีคนจำนวนมากอาสาสมัครเข้าต่อสู้เพื่อประเทศ
Rather a large crowd gathered to hear the speaker.
มีฝูงชนจำนนมากทีเดียวที่เข้ามาฟังผู้พูด
There was quite a large crowd in the street.
มีฝูงชนมากมายทีเดียวในถนน
3. A ใช้หน้า noun quantifiers ต่อไปนี้ คือ a few , a lot of ,
a little
Would you please give me a few examples ?
คุณกรุณาให้ตัวอย่างสักหน่อยได้ไหมครับ
There are a lot of students in this school.
มีเด็กจำนวนมากในโรงเรียนนี้
Give me a little sugar, please.
ขอน้ำตาลหน่อยครับ
4. A ใช้หลัง so/too + adjective +singular noun ดังตัวอย่าง
She is so sensible a girl to do a thing like that.
เธอเป็นที่มีความรู้สึกไวมากเกินไปจะทำสิ่งนั้น
She is so sensible a girl that she could not do a thing like that.
เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกไวมากจนว่าเธอไม่สามารทำงานสิ่งนั้นได้
5. half an hour / a half hour เช่น
She waited for half an hour. ( a half hour )
เธอรอคอยมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว
6. A ใช้ในสำนวน ( idioms ) ต่อไปนี้
ก. หลังกริยา make เช่น
make a bit for ประมูล , พยายามเอา
make a book เป็นเจ้ามือ
make a clean breast of it สารภาพหมดทุกอย่าง
make a fool of หลอก , ต้มตุ๋น
make a fortune ร่ำรวย
make a habit of ทำเป็นเนืองนิจ
make a hole ทรัพย์สมบัติพร่องไป
make a night of it สนุกกันทั้งคืน
make a noise in the world หาชื่อเสียง
make a point of ถือเป็นข้อสำคัญ
make a difference ทำให้แปลก
make a living หาเลี้ยงชีพ
make a start เริ่ม
make a practice of ทำเป็นเนืองนิตย์
ข. หลังกริยา take เช่น
take a trip เดินทาง
take a back seat เป็นช้างเท้าหลัง
take a chance ลองเสี่ยงโชค
take a deep breath หายใจยาว
take a glance มองดู
take a holiday หยุดพักผ่อน
take a photo ถ่ายรูป
take a walk เดินเที่ยว
ค. หลังกริยาอื่นๆ เช่น
do a favor ช่วยเหลือ
become a reality กลายเป็นความจริง
tell a lie โกหก
play a joke เล่นตลก
play a trick เล่นโกง
call a halt หยุด
ช. A ใช้บุพบทวลี (prepositional phrases ) เช่น
in a hurry โดยรีบเร่ง
as a result ผล
as a matter of fact อันที่จริง
as a rule ตามกฎเกณฑ์
for a long time เป็นระยะเวลายาวนาน
ไม่ใช้ A , AN ในกรณีต่อไปนี้
1. นามพหูพจน์ ( plural nouns ) ทั้งนี้เพราะ A , AN
แปลว่า " หนึ่ง" จะนำมาใช้ในความหมายพหูพจน์ไม่ได้
Owls are animal. นกเค้าแมวเป็นสัตว์
Cows give milk. วัวให้นม
Dogs bark. สุนัขเห่า
2. นามนับไม่ได้ ( uncountable nouns ) เช่น advice ,
information , news
, baggage , luggage เป็นต้น
He gave me good advice. เขาให้คำแนะนำที่ดีแก่ฉัน
Furniture makes my room beautiful. เฟอร์นิเจอร์ทำให้ห้องของฉันสวย
หมายเหตุ เมื่อ A , AN ไม่สามารใช้ได้ทั้งกับนามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ในกรณี
ีที่ต้องการระบุจำนวนที่ไม่ชี้จำเพาะเจาะจง
อาจใช้ some นำหน้าได้ทั้งกับนามพหูพจน์และนามนับไม่ได้
There is some milk in the bottle. มีนมอยู่บ้างในขวด
I see some student playing football. ฉันเห็นเด็กบางคนกำลังเล่นฟุตบอล
นอกจากนี้ยังสามารถใช้คำสำนวนเหล่านี้กับนามนับไม่ได้
เช่น a little , little , a lot of เป็นต้น
He has a lot of luggage. เขามีกระเป๋าเดินทางมาก
3. นามนับไม่ได้ เช่น glass , wood . iron , stone ,
paper , cloth ,milk , tea , money , grass , corn เป็นต้น
I write on paper. ฉันเขียนบนกระดาษ
Tables are made of wood. โต๊ะทำด้วยไม้
นามนับไม่ได้เหล่านี้ ถ้าต้องการจะใช้แบบนามนับได้
จะต้องเพิ่มกลุ่มคำเข้าไปข้างหน้าคั่นด้วยบุพบท "of "
เพื่อจะบอกจำนวนปริมาณที่แน่นอน
เช่น a bottle of whisky , a pieces of paper , a tin of milk เป็นต้น
4. คำนามนามธรรม ( abstract nouns ) คือ คำนามที่แสดงความรู้สึก
อุดมคติ คำเหล่านี้ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม้ได้ เช่น truth ,
beauty , happiness , fear , joy เป็นต้น
Beauty is truth. ความงามคือความจริง
Everyone needs happiness. ทุกคนต้องการความสุข
DEFINITE ARTICLE - THE
The เรียกว่า Definite Article ใช้นำหน้านามนับได้ นาบนับไม่ได้
้นามเอกพจน์และพหูพจน์ ที่ต้องการเจาะจงชี้เฉพาะลงไปว่าเป็นบุคคลนั้น สิ่งนั้น
มิใช่เป็นบุคคลหรือสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งลอยๆ
วิธีใช้
1. The ใช้นำหน้านามที่ต้องการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นบุคคล
สิ่งนั้น โดยปกติเราจะเห็นว่ามีประโยคที่ชี้จำเพาะอยู่
This is the cat with caught the rat.
นี้คือแมวตัวที่จับหนูตัวนั้นได้
The boy over there is my brother.
เด็กชายคนที่อยู่ตรงนั้นคือน้องชายของฉัน
2. The ใช้นำหน้านามที่มีอยู่เพียงสิ่งเดียว ( only one ) รวมไปถึงชื่อของทะเล , มหาสมุทร , แม่น้ำ , หมู่เกาะ ,
เทือกเขา, (ยกเว้นชื่อภูเขา) , ชื่อประเทศที่มีคำว่า
" united , union , republic " ประกอบอยู่ด้วย
เช่น the Republic of Colombia , the Kingdom of Thailand
, the Dominion of Canada , the British Commonwealth ,
the Netherlands เป็นต้น
The earth moves around the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
The Nile River flow into the Mediterranean Sea.
แม่น้ำไนล์ไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
Moscow is the capital of the USSR.
มอสโกเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต
3. The ใช้นำหน้าขั้นสุด ( Superlative ) และลำดับที่
( ordinal number )
Diamond is the hardest substance.
เพชรเป็นวัตถุที่แข็งที่สุด
Broadway is the longest street in the world.
บรอดเวย์เป็นถนนที่ยาวที่สุดในโลก
She was the first woman from here to become a doctor.
เธอเป็นสตรีคนแรกที่นี่ที่เป็นหมอ
4. The ใช้นำหน้าชื่อของเครื่องดนตรี ( musical instruments )
Many children play the piano.
มีเด็กหลายคนเล่นเปียโน
He likes to play the guitar.
เขาชอบเล่นกีตาร์
5. The ที่ใช้นำหน้าคำคุณศัพท์ ( adjectives )
ที่นำมาใช้เป็นคำนาม หมายถึงระดับชั้นของบุคคล เช่น
The old ( คนแก่ )
the dumb ( คนใบ้ )
The young ( คนหนุ่ม )
the sick ( คนป่วย )
The poor ( คนจน )
the injured ( คนที่ได้รับบาดเจ็บ )
The blind ( คนตาบอด )
the Japanese ( ชาวญี่ปุ่น )
6. The ใช้นำหน้าชื่อของภาษาที่มีคำว่า " language " อยู่ด้วย
The Spanish language is easy to study.
ภาษาสเปนเรียนง่าย
7.The ใช้นำหน้าที่เป็นบุคคลหรือสิ่งของที่กล่าวถึงมาก่อนแล้ว ครั้งหนึ่ง
I see some boy and girl. The boys are playing football.
ฉันเห็นเด็กชายและเด็กหญิงบางคน เด็กชายกำลังเล่นฟุตบอล
8. The ใช้นำหน้านามที่เป็นชื่อของอาณาจักรหรือราชวงศ์ ฯลฯ
The Ottoman Empire
The Ming Dynasty
The British Commonwealth of Nations
9. The ใช้นำหน้านามที่เป็นชื่อของทะเลทราย คลอง และป่า
The Suez Canal
The Sahara Desert
The Black Forest
10. The ใช้นำหน้าคำที่ใช้บอกตำแหน่งที่ตั้งภูมิศาสตร์
The south the middle West
The Orient the Near East
The ใช้ในกรณีพิเศษ ( Special Uses of " The " ) ดังต่อไปนี้
1. ใช้ในสำนวน ต่อไปนี้
make the bed wash the dishes
play the fool in the long run
at the mercy of on the order hand
on the whole clean the table
tell the truth by the way
in the least on (the) one hand
on the contrary
ไม่ใช้ THE ในกรณีต่อไปนี้
1. ชื่อประเทศ ที่ไม่มีคำว่า republic , united , union อยู่ด้วย
He lives in Australia.
เขาอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย
It comes from Japan.
มันมาจากญี่ปุ่น
2. ชื่อรัฐ, จังหวัด , เมือง เช่น Bangkok , Boston , Kansas , Missouri
ยกเว้น the state of Kansas the state of Oklahoma
the city of Boston the province of Quebec
3. ชื่อโรคภัยไข้เจ็บ ( diseases ) หรือ ความผิดปกติทางกายอื่นๆ
My sister is ill ; she has influenza.
น้องสาวของฉันป่วยเธอเป็นไข้หวัดใหญ่
He has pneumonia.
เขาเป็นโรคปอดอักเสบ
4. ชื่อถนน เช่น Petchbury Road , Brewster Road , Fourth Avenue
5. ชื่อสวนสาธารณะ เช่น Lumpini Park , St. Park , Hyde Park
6. ชื่อมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน สถาบัน เช่น
Srinakharinwirot University
Rice College
Darasamutr School
ยกเว้น ในกรณีที่สถานที่เหล่านี้มีบุพบท " of " คั่นอยู่ต้องมี " the"
7. ชื่อตึกและอาคาร เช่น Choke Chai Building , Nation Hall
ยกเว้น
the Empire State Building
the Medical - Dental Building
the Civic Auditorium
the Woolworth Building
the Coliseum
8. ชื่อเกมกีฬา เช่น football , tennis , chess , …….
ยกเว้น ถ้ามีคำประกอบข้างท้ายชื่อของเกมกีฬา จะต้องมี Article
9. ชื่อภาษาที่ไม่มีคำว่า " language " อยู่ด้วย
He likes to study English.
เขาชอบเรียนภาษาอังกฤษ
I can speak French a little.
ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดหน่อย
John can speak Thai very well.
จอห์นพูดภาษาไทยได้ดีมาก
10. ชื่อมื้ออาหาร , ฤดูกาล ไม่ใช้ "the"
We shall have breakfast in that restaurant.
เราจะทานอาหารเช้ากันในภัตตาคารแห่งนั้น
It is very hot in summer.
อากาศร้อนจัดในฤดูร้อน
11. ชื่อสัญชาติ ( Nationality ) เช่น Thai , Japanese ,
American , Australian
แต่ถ้าหมายถึง ชั้นของบุคคล ต้องมี the เช่น the Japanese คนญี่ปุ่น
12. ไม่ใช่ Article - A,AN,THE กับสิ่งธรรมดาสามัญทั่วไป
(general sense)
Coffee is not good for children to drink.
กาแฟไม่ดีสำหรับเด็กที่จะดื่ม
Honesty is the most important policy for a good government.
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาล
13. ชื่อของบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช้ the
14. ปกติไม่ใช้ Article - A,AN,THE หน้ school , market,
church , hospital , prison , bed
ยกเว้น ถ้าต้องการชี้จำเพาะเจาะจงลงไปแน่นอนว่าเป็นสถานที่นั้น
เท่านั้น จึงใช้ the
He has been sent to hospital.
เขาถูกส่งไปโรงพยาบาล
He was sent to prison for robbery.
เขาถูกส่งเข้าคุกฐานลักขโมย
He goes to church.
เขาไปสวดมนต์ที่โบสถ์
การใช้พิเศษ สำนวนต่อไปนี้จะไม่มี Article - A,AN.THE ได้แก่
make friend หาเพื่อน,เป็นเพื่อน
beg pardon ขอโทษ
make haste รีบเร่ง
make conversation พูดคุย
take care of ดูแล,เอาใจใส่
take heart มีใจขึ้น
take revenge ล้างแค้น
take steps จัดการ
by hand ด้วยมือตนเอง
by heart ท่องขึ้นใจ
by accident โดยบังเอิญ
by train (bus ,ship ,plane)โดยรถไฟ(รถยนต์,เรือ,เครื่องบิน)
in trouble ตกอยู่ในภาวะลำบาก
in fact อันที่จริง
on occasion บางครั้งบางคราว
on purpose โดยเจตนา
at last ในที่สุด
at time เป็นบางครั้งบางคราว
by means of โดยวิธี
in comparison with เปรียบเทียบกัน
SOME , ANY , NO , NONE , COMPOUND WORD
Some = จำนวนหนึ่ง มีอยู่บ้าง ใช้ในประโยคบอกเล่า
Any = ใช้แทน some ในประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม
No = not any ( หรือ not a )
วิธีใช้
1. ทั้งสามคำใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ถ้าใช้
นามนับได้นามตัวนั้น มักจะเป็นพหูพจน์
There is some milk in the jug.
มีนมบ้างอยู่ในเหยือก
Some boy are playing football in the field.
มีเด็กบางคนกำลังเล่นฟุตบอลในสนาม
Are there any books on the shelf ?
มีหนังสือบนหิ้งบ้างไหม
There aren't any (no) books on shelf.
ไม่มีหนังสือบนหิ้ง
There isn't any flour left in the bowl.
ไม่มีแป้งหลงเหลืออยู่เลยในกระปุก
2. เราสามารถใช้ " some " ในประโยคคำถามได ้
ถ้าเราคาดหวังว่าคนๆนั้นจะตอบรับว่า " Yes "
จากการถามของเรา หรือใช้ในการเชื้อเชิญ ( invitation ) หรือการขอร้อง ( request )
Are there some stamps in the drawer ?
( คำตอบที่คาดหวังคือ yes )
มีแสตมป์สักชิ้นบ้างไหม
Won't you have some more buiscuits ? ( เชื้อเชิญ )
คุณจะไม่ทานขนมบิสกิตบ้างหรือครับ
Can I have some more sugar in my coffee, please ? ( ขอร้อง)
ขอน้ำตาลใส่กาแฟหน่อยครับ
3. some , any ใช้เป็นสรรพนามได้
( คือ ใช้ลอยไม่มีนามตามหลัง )
แต่ no จะต้องมีนามตามหลังเสมอ ถ้าจะใช้เป็นสรรพนามต้องใช้ none แทน
( none ไม่ต้องมีนามตามหลัง )
(1) Have you any money ? คุณมีเงินบ้างไหม ?
No, I haven't any. I need some too.
ไม่ ฉันไม่มีเลย ฉันต้องการ(เงิน)บ้างเหมือนกัน
(2) I have no money. ฉันไม่มีเงินเลย
= I have none.
(3) I need none of your books. ฉันไม่ต้องการหนังสือเล่มใดของคุณ
4. Compound word (คำผสม) ที่มาจาก some, any, no ได้แก่
Someone anyone no one
Somebody anybody nobody
Something anything nothing
Somewhere anywhere nowhere
คำผสมเหล่านี้มีวิธีการใช้ ในทำนองเดียวกันกับ some, any และ no
ทุกคำข้างต้นใช้เป็นเอกพจน์เสมอ ฉะนั้นกริยาจึงต้องเป็นกริยาเอกพจน์
There is someone coming up the stairs.
มีบางคนกำลังขึ้นบันได
Both of them have gone somewhere.
ทั้งคู่คงไปที่ไหนสักแห่ง
Is there anybody at the door.
มีใครอยู่ที่ประตูไหม
He isn't anywhere in the house.
เขาไม่ได้อยู่ที่ไหนในบ้าน
EVERYBODY , EVERYONE , EVERYTHING , EVERY
Every = ทุกๆ
Everyone/Everybody = ทุกๆคน
Everything = ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้ง 4 คำนี้ใช้เป็นเอกพจน์เสมอ กริยาเป็นเอกพจน์
Everybody likes him.
ทุกคนชอบเขา
Everything is in order.
ทุกอย่างเป็นระเบียบดี
Every boy passes the exam.
ทุกคนผ่านการสอบ
Rather, Fairly, Real, Realistic, True,Repeat
Rather, Fairly
"Rather" ใช้ในความหมายที่ค่อนข้างไปในทางที่ไม่ดี เช่น
Jim is a rather bad pupil. จิมเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยดี
"Fairly" ใช้ในความหมายค่อนข้างดี เช่น
Mary is a fairly good pupil. แมรี่เป็นนักเรียนค่อนข้างดี
Real, Realistic, True
"Real" เป็น Adjective บอกลักษณะให้ทราบว่าเป็นสิ่งแท้ไม่ปลอม เช่น
This is real silk. นี่เป็นผ้าไหมแท้
"Realistic" หมายถึง "เหมือนจริง" เช่น
She likes to read realistic stories. เธอชอบอ่านเรื่องเหมือนจริง (นวนิยาย)
"True" หมายถึง "ถูกต้องตามความเป็นจริง" เช่น
This is a true story. นี่เป็นเรื่องจริง
Repeat
หมายถึง "ทำซ้ำ กล่าวซ้ำ" ไม่ต้องใช้ again ตามหลังอีก
"Rather" ใช้ในความหมายที่ค่อนข้างไปในทางที่ไม่ดี เช่น
Jim is a rather bad pupil. จิมเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยดี
"Fairly" ใช้ในความหมายค่อนข้างดี เช่น
Mary is a fairly good pupil. แมรี่เป็นนักเรียนค่อนข้างดี
Real, Realistic, True
"Real" เป็น Adjective บอกลักษณะให้ทราบว่าเป็นสิ่งแท้ไม่ปลอม เช่น
This is real silk. นี่เป็นผ้าไหมแท้
"Realistic" หมายถึง "เหมือนจริง" เช่น
She likes to read realistic stories. เธอชอบอ่านเรื่องเหมือนจริง (นวนิยาย)
"True" หมายถึง "ถูกต้องตามความเป็นจริง" เช่น
This is a true story. นี่เป็นเรื่องจริง
Repeat
หมายถึง "ทำซ้ำ กล่าวซ้ำ" ไม่ต้องใช้ again ตามหลังอีก
Perhaps, Sometimes,Pity, Pitiful,Poet, Author,Political, Politics, Politician,President, Chairman
Perhaps, Sometimes
"Perhaps" หมายถึงบางที (ไม่ค่อยแน่ใจ)
Perhaps he will be home today. บางทีเขาอาจอยู่บ้าน
"Sometimes" หมายถึงเป็นครั้งคราว
He came to see me sometimes. เขามาหาฉันเป็นครั้งคราว
Pity, Pitiful
"Pity" หมายถึง "สงสาร"
I pity him. ฉันสงสารเขา
"Pitiful" หมายถึง "น่าสงสาร" เช่น
That old man is pitiful. ชายแก่คนนั้นนาสงสาร
Poet, Author
"Poet" หมายถึง "ผู้ประพันธ์บทร้อยกรอง" เช่น
Soontorn Poo is one of the greatest poets.
สุนทรภู่เป็นนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
"Author" หมายถึง "นักเขียน" นวนิยาย บทความ เช่น
He is a good author. เขาเป็นนักเขียนที่ดี
Political, Politics, Politician
"Political" เป็น Adjective หมายถึง เกี่ยวกับการเมือง เช่น
Some university students study political science.
นักศึกษาในมหาวิทยาลัยบางคาเรียนวิชาเกี่ยวกับการเมือง
"Politics" เป็นคำนาม หมายถึง "การเมือง"
Most people are interested in politics. ส่วนใหญ่คนสนใจการเมือง
"Politician" เป็นคำนาม หมายถึง "นักการเมือง"
Men who take an active interest in politics are called politicians.
ผู้ที่มีหน้าที่ทางการเมืองเรียกว่านักการเมือง
President, Chairman
"President" หมายถึง "ประธานาธิบดี" เช่น
Ronald Reagan is president of America.
โรนัล เรแกน เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
"Chairman" หมายถึง "ประธาน"
He is the chairman of the village scouts.
เขาเป็นประธานลูกเสือชาวบ้าน
"Perhaps" หมายถึงบางที (ไม่ค่อยแน่ใจ)
Perhaps he will be home today. บางทีเขาอาจอยู่บ้าน
"Sometimes" หมายถึงเป็นครั้งคราว
He came to see me sometimes. เขามาหาฉันเป็นครั้งคราว
Pity, Pitiful
"Pity" หมายถึง "สงสาร"
I pity him. ฉันสงสารเขา
"Pitiful" หมายถึง "น่าสงสาร" เช่น
That old man is pitiful. ชายแก่คนนั้นนาสงสาร
Poet, Author
"Poet" หมายถึง "ผู้ประพันธ์บทร้อยกรอง" เช่น
Soontorn Poo is one of the greatest poets.
สุนทรภู่เป็นนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
"Author" หมายถึง "นักเขียน" นวนิยาย บทความ เช่น
He is a good author. เขาเป็นนักเขียนที่ดี
Political, Politics, Politician
"Political" เป็น Adjective หมายถึง เกี่ยวกับการเมือง เช่น
Some university students study political science.
นักศึกษาในมหาวิทยาลัยบางคาเรียนวิชาเกี่ยวกับการเมือง
"Politics" เป็นคำนาม หมายถึง "การเมือง"
Most people are interested in politics. ส่วนใหญ่คนสนใจการเมือง
"Politician" เป็นคำนาม หมายถึง "นักการเมือง"
Men who take an active interest in politics are called politicians.
ผู้ที่มีหน้าที่ทางการเมืองเรียกว่านักการเมือง
President, Chairman
"President" หมายถึง "ประธานาธิบดี" เช่น
Ronald Reagan is president of America.
โรนัล เรแกน เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
"Chairman" หมายถึง "ประธาน"
He is the chairman of the village scouts.
เขาเป็นประธานลูกเสือชาวบ้าน
One, Ones,Ought to,Only,One...the other, One another
One, Ones
"One" ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงครั้งแรกเป็นเอกพจน์ เช่น
I want a black one. ฉันต้องการสีดำ
"Ones" ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงครั้งแรกเป้นพหูพจน์ เช่น
There are many books on the table. Bring me the big ones.
มีหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ เอาเล่มใหญ่ ๆ มา 2-3 เล่ม
One……the other, One another
"One……the other" ใช้กับของสองอย่าง เช่น เมื่อพูดถึงปากกา 2 ด้าม ด้ามหนึ่งจะเป็น one อีกด้ามหนึ่งจะเป็น the other เช่น
I have bought two pens. I will give one to you and the other to him.
"One……..another" ใช้กับของที่มีค่ามากกว่า 2 อย่างขึ้นไป เช่น
During shopping, she went from one shop to another.
ในระหว่างซื้อของ เธอเดินจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง
On the other hand.
หมายถึง "อีกด้านหนึ่ง" คือ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกับข้อความที่กล่าวมาแล้ว
This book is very interesting. On the other hand, it is too difficult for children to read.
หนังสือนี้น่าสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งมันยากเกนไปสำหรับที่เด็กจะอ่าน
Ought to
หมายถึง "ควรจะ" เช่น
It's eight o'clock, you ought to have breakfast.
8 นาฬิกา คุณควรจะทานอาหารเช้าได้แล้ว
เมื่อเป็นรูปอดีตใช้รูป Ought to + have + Verb 3 เช่น
You ought have visited her last night. คุณควรจะไปเยี่ยมเธอคืนนี้
Only
ควรระวังเกี่ยวกับความหมาย เพราะ Only ใช้ขยายนามที่ติดต่อด้วยเท่านั้นเอง
I saw him only once. ฉันเห็นเขาเพียงหนเดียวเท่านั้น (ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ)
I only saw him. ฉันเพียงแต่เห็นเขา (ไม่ได้พูดด้วย)
I saw only him. ฉันเห็นแต่เพียงเขา (ไม่เห็นคนอื่น)
Only I saw him. มีเพียงฉันที่เห็นเขา (คนอื่นไม่เห็น)
"One" ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงครั้งแรกเป็นเอกพจน์ เช่น
I want a black one. ฉันต้องการสีดำ
"Ones" ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงครั้งแรกเป้นพหูพจน์ เช่น
There are many books on the table. Bring me the big ones.
มีหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ เอาเล่มใหญ่ ๆ มา 2-3 เล่ม
One……the other, One another
"One……the other" ใช้กับของสองอย่าง เช่น เมื่อพูดถึงปากกา 2 ด้าม ด้ามหนึ่งจะเป็น one อีกด้ามหนึ่งจะเป็น the other เช่น
I have bought two pens. I will give one to you and the other to him.
"One……..another" ใช้กับของที่มีค่ามากกว่า 2 อย่างขึ้นไป เช่น
During shopping, she went from one shop to another.
ในระหว่างซื้อของ เธอเดินจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง
On the other hand.
หมายถึง "อีกด้านหนึ่ง" คือ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกับข้อความที่กล่าวมาแล้ว
This book is very interesting. On the other hand, it is too difficult for children to read.
หนังสือนี้น่าสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งมันยากเกนไปสำหรับที่เด็กจะอ่าน
Ought to
หมายถึง "ควรจะ" เช่น
It's eight o'clock, you ought to have breakfast.
8 นาฬิกา คุณควรจะทานอาหารเช้าได้แล้ว
เมื่อเป็นรูปอดีตใช้รูป Ought to + have + Verb 3 เช่น
You ought have visited her last night. คุณควรจะไปเยี่ยมเธอคืนนี้
Only
ควรระวังเกี่ยวกับความหมาย เพราะ Only ใช้ขยายนามที่ติดต่อด้วยเท่านั้นเอง
I saw him only once. ฉันเห็นเขาเพียงหนเดียวเท่านั้น (ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ)
I only saw him. ฉันเพียงแต่เห็นเขา (ไม่ได้พูดด้วย)
I saw only him. ฉันเห็นแต่เพียงเขา (ไม่เห็นคนอื่น)
Only I saw him. มีเพียงฉันที่เห็นเขา (คนอื่นไม่เห็น)
Nearly, Almost,News, New
Nearly, Almost
"Nearly" หมายถึง "เกือบ" มุ่งในด้านปริมาณ เช่น
His salary is nearly 2,000 baht. เงินเดือนของเขาเกือบ 2,000 บาท
"Almost" หมายถึง "เกือบจะ" มุ่งในด้านกระทำ เช่น
He almost succeeded in swimming across the river.
เขาเกือบจะว่ายไปถึงอีกฝั่งได้
News, New
"News" เป็นคำนาม แปลว่า "ข่าว" ในความหมายความเป็นเอกพจน์
This is the fresh news. นี่เป็นข่าวสด
"New" เป็น Adjective หรือ Adverb หมายถึง "ใหม่"
This is a new dress. นี่เป็นเครื่องแต่งกายใหม่
"Nearly" หมายถึง "เกือบ" มุ่งในด้านปริมาณ เช่น
His salary is nearly 2,000 baht. เงินเดือนของเขาเกือบ 2,000 บาท
"Almost" หมายถึง "เกือบจะ" มุ่งในด้านกระทำ เช่น
He almost succeeded in swimming across the river.
เขาเกือบจะว่ายไปถึงอีกฝั่งได้
News, New
"News" เป็นคำนาม แปลว่า "ข่าว" ในความหมายความเป็นเอกพจน์
This is the fresh news. นี่เป็นข่าวสด
"New" เป็น Adjective หรือ Adverb หมายถึง "ใหม่"
This is a new dress. นี่เป็นเครื่องแต่งกายใหม่
Most, All, Move, Remove
Most, All
ทั้งสองตัวใช้ในรูปที่เหมือนกันดังนี้
1. ใช้สรรพนามตามหลัง of เช่น Most of them, All of them
2. ใช้นามตามหลัง of เช่น Most of the students, All of the students
3. ใช้นามตามหลัง เช่น Most students, All students
ข้อสังเกต ทั้ง 3 แบบนี้ใช้ในรูปพหูพจน์ ดังนั้นกริยาตามหลังต้องเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น Most of them are playing in the field.
All of the students are studying.
Move, Remove
"Move" หมายถึง "เคลื่อนที่ เปลี่ยนที่" เช่น
Help me move the table. ช่วยฉันเคลื่อนโต๊ะนี้หน่อย
"Remove" หมายถึง "ทำให้หมดไป, เอาไปให้พ้น, ถอดออก"
Dishonest persons will be removed from this job.
คนที่ไม่ซื่อสัตย์จะถูกให้ออกจากงาน
ทั้งสองตัวใช้ในรูปที่เหมือนกันดังนี้
1. ใช้สรรพนามตามหลัง of เช่น Most of them, All of them
2. ใช้นามตามหลัง of เช่น Most of the students, All of the students
3. ใช้นามตามหลัง เช่น Most students, All students
ข้อสังเกต ทั้ง 3 แบบนี้ใช้ในรูปพหูพจน์ ดังนั้นกริยาตามหลังต้องเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น Most of them are playing in the field.
All of the students are studying.
Move, Remove
"Move" หมายถึง "เคลื่อนที่ เปลี่ยนที่" เช่น
Help me move the table. ช่วยฉันเคลื่อนโต๊ะนี้หน่อย
"Remove" หมายถึง "ทำให้หมดไป, เอาไปให้พ้น, ถอดออก"
Dishonest persons will be removed from this job.
คนที่ไม่ซื่อสัตย์จะถูกให้ออกจากงาน
May
May
ใช้ได้ใน 3 กรณี คือ
1. ความหมายอนุญาต เช่น
May I go out tonight? ผมขออนุญาตออกไปข้างนอกคืนนี้
2. ใช้แสดงความปรารถนา เช่น
May you both be happy. ขอให้ทั้งคู่จงมีความสุข
3. ใช้ในความหมาย "อาจจะ" เช่น
It may be too late. มันอาจจะช้าไปหน่อย
ใช้ได้ใน 3 กรณี คือ
1. ความหมายอนุญาต เช่น
May I go out tonight? ผมขออนุญาตออกไปข้างนอกคืนนี้
2. ใช้แสดงความปรารถนา เช่น
May you both be happy. ขอให้ทั้งคู่จงมีความสุข
3. ใช้ในความหมาย "อาจจะ" เช่น
It may be too late. มันอาจจะช้าไปหน่อย
Mark,เส้น, รอย, จุด, คะแนน
Mark
"Mark" เป็นคำนามหมายถึง "เส้น, รอย, จุด, คะแนน" เช่น
Clean the dirty marks on the table. ลบรอยสกปรกบนโต๊ะเสีย
He has got 40 marks out of 100. เขาได้คะแนน 40 คะแนนจาก 100 คะแนน
กริยา หมายถึง "ให้คะแนน, ทำให้เป็นรอย" เช่น
The teacher is marking the papers. ครูกำลังให้คะแนน
"Mark" เป็นคำนามหมายถึง "เส้น, รอย, จุด, คะแนน" เช่น
Clean the dirty marks on the table. ลบรอยสกปรกบนโต๊ะเสีย
He has got 40 marks out of 100. เขาได้คะแนน 40 คะแนนจาก 100 คะแนน
กริยา หมายถึง "ให้คะแนน, ทำให้เป็นรอย" เช่น
The teacher is marking the papers. ครูกำลังให้คะแนน
Many, Much
Many, Much
"Many" ใช้กับนามนับได้พหูพจน์ เช่น
There are many books on the table. มีหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ
"Much" ใช้กับนามนับไม่ได้พหูพจน์ เช่น
There is much water in the jar. มีน้ำอยู่มากในโอ่ง
"Many" ใช้กับนามนับได้พหูพจน์ เช่น
There are many books on the table. มีหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ
"Much" ใช้กับนามนับไม่ได้พหูพจน์ เช่น
There is much water in the jar. มีน้ำอยู่มากในโอ่ง
Make, Cause,ทำให้,ทำให้เป็น
Make, Cause
"Make" หมายถึง "ทำให้" ถ้าเขียนแบบ Active voice ใช้รูป infinitive ไม่มี to ตาม เช่น
He made me walk a mile. เขาทำให้ฉันเดินทางเป็นระยะหนึ่งไมล์
ถ้าเขียนแบบ Passive voice ใช้ infinitive ที่มี to ตามหลัง
I was made to walk a mile.
"Cause" หมายถึง "ทำให้เป็น" ใช้กับ infinitive ที่มี to ตาม
His laziness caused him to fail in his examination.
ความเกียจคร้านทำให้เขาสอบตก
"Make" หมายถึง "ทำให้" ถ้าเขียนแบบ Active voice ใช้รูป infinitive ไม่มี to ตาม เช่น
He made me walk a mile. เขาทำให้ฉันเดินทางเป็นระยะหนึ่งไมล์
ถ้าเขียนแบบ Passive voice ใช้ infinitive ที่มี to ตามหลัง
I was made to walk a mile.
"Cause" หมายถึง "ทำให้เป็น" ใช้กับ infinitive ที่มี to ตาม
His laziness caused him to fail in his examination.
ความเกียจคร้านทำให้เขาสอบตก
Look for, Find,มองหา,พบ
Look for, Find
"Look for" หมายถึง "มองหา" เช่น
What are you looking for? คุณกำลังมองหาอะไร
"Find" หมายถึง "พบ" เช่น
He looked for his pen and found it in his own desk.
เขามองหาปากกาของเขาและพบมันบนโต๊ะ
"Look for" หมายถึง "มองหา" เช่น
What are you looking for? คุณกำลังมองหาอะไร
"Find" หมายถึง "พบ" เช่น
He looked for his pen and found it in his own desk.
เขามองหาปากกาของเขาและพบมันบนโต๊ะ
Live, Live on,อาศัยอยู่ มีชีวิตอยู่,มีชีวิตอยู่โดยอาศัย
Live, Live on
"Live" เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำคุณศัพท์(Adjective) เป็นกริยาอ่านว่า ลีฟ หมายถึง "อาศัยอยู่ มีชีวิตอยู่"
I have lived in this in this house since 1970.
ฉันอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ปี 1970
"Live on" มีชีวิตอยู่โดยอาศัย หรือ กิน……….เป็นอาหาร เช่น
Cattle live on grass. วัวควายมีชีวิตอยู่โดยอาศัยหญ้า
"Live" เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำคุณศัพท์(Adjective) เป็นกริยาอ่านว่า ลีฟ หมายถึง "อาศัยอยู่ มีชีวิตอยู่"
I have lived in this in this house since 1970.
ฉันอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ปี 1970
"Live on" มีชีวิตอยู่โดยอาศัย หรือ กิน……….เป็นอาหาร เช่น
Cattle live on grass. วัวควายมีชีวิตอยู่โดยอาศัยหญ้า
Lie, Lay,นอน,วาง
Lie, Lay
"Lie" หมายถึง "นอน" ผันได้คือ "lie lay lain"
He lies in the bed. เขานอนบนเตียง
"Lay" หมายถึง "วาง" ผันได้คือ "lay laid laid"
Please lay the baby down gently. กรุณาวางเด็กลงอย่างค่อย ๆ หน่อย
"Lie" หมายถึง "นอน" ผันได้คือ "lie lay lain"
He lies in the bed. เขานอนบนเตียง
"Lay" หมายถึง "วาง" ผันได้คือ "lay laid laid"
Please lay the baby down gently. กรุณาวางเด็กลงอย่างค่อย ๆ หน่อย
Last สุดท้าย
Last
ตามปกติหมายถึง "สุดท้าย" เช่น
Last night, I could not sleep. เมื่อคืนที่แล้วฉันนอนไม่หลับ
หรืออาจหมายถึง "ยังคงอยู่" เช่น
How long will our food last? อาหารของเรายังคงอยู่ได้นานเท่าอีกเท่าไหร่
ตามปกติหมายถึง "สุดท้าย" เช่น
Last night, I could not sleep. เมื่อคืนที่แล้วฉันนอนไม่หลับ
หรืออาจหมายถึง "ยังคงอยู่" เช่น
How long will our food last? อาหารของเรายังคงอยู่ได้นานเท่าอีกเท่าไหร่
Jewel, Diamond,Judgment, Justic
Jewel, Diamond
"Jewel" หมายถึง "หินมีค่า รวมทั้งเพชร ทับทิม มรกต ฯลฯ"
"Diamond" หมายถึงเฉพาะ "เพชร"
Judgment, Justic
"Judgement" หมายถึง "คำพิพากษา, คามสามารถในการตัดสิน" เช่น
The judge will pronounce his judgement.
ผู้พิพากษาจะประกาศคำพิพากษา
"Justice" หมายถึง "ความยุติธรรม" เช่น
The was no justice for him. ไม่มีความยุติธรรมสำหรับเขา
"Jewel" หมายถึง "หินมีค่า รวมทั้งเพชร ทับทิม มรกต ฯลฯ"
"Diamond" หมายถึงเฉพาะ "เพชร"
Judgment, Justic
"Judgement" หมายถึง "คำพิพากษา, คามสามารถในการตัดสิน" เช่น
The judge will pronounce his judgement.
ผู้พิพากษาจะประกาศคำพิพากษา
"Justice" หมายถึง "ความยุติธรรม" เช่น
The was no justice for him. ไม่มีความยุติธรรมสำหรับเขา
Kind of, Sort of ชนิด
Kind of, Sort of
"Kind of" หมายถึง "ชนิด" ไม่ได้ใช้ a, an ตามหลัง kind of เช่น
Football is a kind of game. ฟุตบอลเป็นเกมชนิดหนึ่ง
"Sort of" ความหมายเหมือน kind of ใช้แทนกันได้ แต่มักใช้กับบุคคลที่มีความหมายดูถูกนิดหน่อย
What sort of friend is he? เพื่อนอย่างเขานะเรอะ
"Kind of" หมายถึง "ชนิด" ไม่ได้ใช้ a, an ตามหลัง kind of เช่น
Football is a kind of game. ฟุตบอลเป็นเกมชนิดหนึ่ง
"Sort of" ความหมายเหมือน kind of ใช้แทนกันได้ แต่มักใช้กับบุคคลที่มีความหมายดูถูกนิดหน่อย
What sort of friend is he? เพื่อนอย่างเขานะเรอะ
Intend, Intent มีความประสงค์ ,ความตั้งใจ
Intend, Intent
"Intend" เป็นกริยา หมายถึง "มีความประสงค์ หรือเจตนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง" เช่น
He intended to be in Japan for two years. เขาตั้งใจอยู่ที่ญี่ปุ่น 2 ปี
คำนามของ Intend คือ intention เช่น
It's his intention to be here as long as possible.
เป็นเจตนารมย์ของเขาเองที่จะอยู่ที่นี่นานเท่าที่จะเป็นไปได้
"Intent" เป็นคำนามที่ใช้ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย เช่น
It's his intent to kill her. เป็นความตั้งใจของเขาที่ฆ่าเธอ
"Intend" เป็นกริยา หมายถึง "มีความประสงค์ หรือเจตนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง" เช่น
He intended to be in Japan for two years. เขาตั้งใจอยู่ที่ญี่ปุ่น 2 ปี
คำนามของ Intend คือ intention เช่น
It's his intention to be here as long as possible.
เป็นเจตนารมย์ของเขาเองที่จะอยู่ที่นี่นานเท่าที่จะเป็นไปได้
"Intent" เป็นคำนามที่ใช้ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย เช่น
It's his intent to kill her. เป็นความตั้งใจของเขาที่ฆ่าเธอ
In the end, At the end หมายถึง "ในที่สุด"
In the end, At the end
"In the end" หมายถึง "ในที่สุด" เป็นกลุ่มคำที่สามารถใช้ Finally หรือ At last แทนได้ เช่น
After studying hard for four months, we had a vacation in the end.
หลังจากเรียนหนักมา 4 เดือน ในที่สุดพวกเราก็มีวันหยุด
"At the end" หมายถึง "ในตอนท้ายของ, ในตอนปลายของ" จะใช้ Finally หรือ At last แทนไม่ได้ เช่น
A little table stands at the end of the sofa.
โต๊ะเล็กอยู่ปลายของโซฟา
"In the end" หมายถึง "ในที่สุด" เป็นกลุ่มคำที่สามารถใช้ Finally หรือ At last แทนได้ เช่น
After studying hard for four months, we had a vacation in the end.
หลังจากเรียนหนักมา 4 เดือน ในที่สุดพวกเราก็มีวันหยุด
"At the end" หมายถึง "ในตอนท้ายของ, ในตอนปลายของ" จะใช้ Finally หรือ At last แทนไม่ได้ เช่น
A little table stands at the end of the sofa.
โต๊ะเล็กอยู่ปลายของโซฟา
ILL, Sick ความหมายว่า "ป่วย, การเจ็บป่วย"
ILL, Sick
สองคำนี้มีความหมายว่า "ป่วย, การเจ็บป่วย" เป็น Adjective เช่น
He was ill yesterday. = He was sick yesterday.
ที่ใช้ต่างกันคือ
"ill" ใช้ได้เฉพาะตามหลัง Verb to be หรือกลุ่มคำที่ใช้แบบ Verb to be(fell, look, become) เช่น
She feels ill today.
"Sick" ใช้ได้เหมือน ill แต่ใช้นำหน้านามได้ด้วย เช่น
My friend is sick. (ill)
She has to talk care of her sick sister.
(ประโยคนี้ใช้ ill แทนไม่ได้)
สองคำนี้มีความหมายว่า "ป่วย, การเจ็บป่วย" เป็น Adjective เช่น
He was ill yesterday. = He was sick yesterday.
ที่ใช้ต่างกันคือ
"ill" ใช้ได้เฉพาะตามหลัง Verb to be หรือกลุ่มคำที่ใช้แบบ Verb to be(fell, look, become) เช่น
She feels ill today.
"Sick" ใช้ได้เหมือน ill แต่ใช้นำหน้านามได้ด้วย เช่น
My friend is sick. (ill)
She has to talk care of her sick sister.
(ประโยคนี้ใช้ ill แทนไม่ได้)
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
none of your business อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน
none of your business อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน พูดได้อีกหลายสำนวน
mind your own business ! เอาตัวเองให้รอดเถอะ !
Not that it's any of your business ไม่ใช่เรื่องอะไรของแกเลย
How about minding your own business ? ช่วยอย่ายุ่งเรื่องคนอื่นได้มะ ?
Mind your own bee's wax ! อย่ามายุ่งได้มะ !
Stop butting into my life ! หยุดเข้ามาแส่ในชีวิตฉันซักที !
Keep your opinions to yourself ! เก็บความเห็นแกไว้ใช้เองเถอะ !
You're so nosy ! แกนี่สาระแนจริง !
Keep to yourself and out of my business ! เอาตัวเองให้รอดและเลิกยุ่งเรื่องของฉันเถอะ !
หรือจะแบบเบาๆลงมาหน่อย
Whyever would you need to know that ? ทำไมถึงอยากได้อยากรู้นักหนานะ ?
Why do you want to know ? ทำไมอยากรู้นัก ?
หรือนี่เป็นแบบสุภาพเลยค่ะ
I don't like to talk about it. ยังไม่อยากพูดถึงน่ะค่ะ
I don't discuss this with others. I hope you don't mind. ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคนอื่น หวังว่าคงไม่ถือนะคะ
I'm not comfortable discussing this. ฉันไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงน่ะค่ะ
You're very kind, but I don't feel like we know each other well enough to go into that. คุณใจดีมากค่ะ แต่ฉันไม่รู้สึกว่าเรารู้จักกันมากพอที่จะพูดถึงเรื่องนั้น
It's personal, but thanks for asking. มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ถาม
mind your own business ! เอาตัวเองให้รอดเถอะ !
Not that it's any of your business ไม่ใช่เรื่องอะไรของแกเลย
How about minding your own business ? ช่วยอย่ายุ่งเรื่องคนอื่นได้มะ ?
Mind your own bee's wax ! อย่ามายุ่งได้มะ !
Stop butting into my life ! หยุดเข้ามาแส่ในชีวิตฉันซักที !
Keep your opinions to yourself ! เก็บความเห็นแกไว้ใช้เองเถอะ !
You're so nosy ! แกนี่สาระแนจริง !
Keep to yourself and out of my business ! เอาตัวเองให้รอดและเลิกยุ่งเรื่องของฉันเถอะ !
หรือจะแบบเบาๆลงมาหน่อย
Whyever would you need to know that ? ทำไมถึงอยากได้อยากรู้นักหนานะ ?
Why do you want to know ? ทำไมอยากรู้นัก ?
หรือนี่เป็นแบบสุภาพเลยค่ะ
I don't like to talk about it. ยังไม่อยากพูดถึงน่ะค่ะ
I don't discuss this with others. I hope you don't mind. ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคนอื่น หวังว่าคงไม่ถือนะคะ
I'm not comfortable discussing this. ฉันไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงน่ะค่ะ
You're very kind, but I don't feel like we know each other well enough to go into that. คุณใจดีมากค่ะ แต่ฉันไม่รู้สึกว่าเรารู้จักกันมากพอที่จะพูดถึงเรื่องนั้น
It's personal, but thanks for asking. มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ถาม
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Pitbull - Rain Over Me
Girl my body don't lie สาวเอ๋ย เนื้อตัวฉันนั้นไม่โกหกหรอก
I'm outta my mind ฉันคลั่งทีเดียว
Let it rain over me ปล่อยมาให้เต็มที่
I'm rising so high ตื่นเต้นเหลือกำลัง
Out of my mind คลั่งสุดฤทธิ์
So let it rain over me ปล่อยมาได้ตามสบาย
Ay ay ay
Let it rain over me
Ay ay ay
Let it rain over me
[Pitbull]
Always a new million จะมีสรรพสิ่งมากมายอยู่เสมอ
Always a new vodka จะมีวอตก้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ
Forty is the new 30 สี่สิบก็คือตัวใหม่ต่อจากสามสิบ
Baby you're a rockstar แม่หวานใจ เธอนั้นเหมือนกับราชินีร๊อค
Dale veterana, que tu sabe สองบรรทัดนี้ภาษาสเปนนะ
Mas de la cuenta, no te hagas
Teach me or better yet, สอนฉันหน่อยซิ หรือถ้าจะให้ดี
Freak me baby, yes, yes ทำให้ฉันตัวสั่นสยอง
I'm freaky, I'mma make sure that your peach feels peachy baby ฉันเป็นไอ้ตัวประหลาด อยากจะรู้ให้แน่ว่าเธอนั้นเป็นอย่างที่เห็น
No bullshit rods, I like my women sexy classy sassy ไม่ตอแหล ฉันชอบผู้หญิงเซ็กซี่เร่าร้อน
Powerful yes, they love to get the middle, nasty ow รุนแรง เขาชอบสัมผัสทางเพศที่พิศดาร
This ain't a game you'll see, you can put the blame on me ไม่ได้หลอกเล่นหรอกนะ คอยดูซิ ท้าได้เลย
Dale munequita ahora ahi, and let it rain over me (ส่วนแรกภาษาสเปน)
[Pitbull]
Always a new million
Always a new vodka
Light is the new majority, ya tu sabe
Next step la casa blance
No hay carro, no vamo en balsa
Mami you know the drill, they will know what I got 'til they read the will แม่หญิง เธอรู้ดี, พวกเขาจะรู้ว่าฉันมีอะไรบ้างก็ตอนที่อ่านพินัยกรรม
I ain't try, I ain't trying to keep it real ฉันไม่พยายาม ไม่พยายามจะทำให้มันเป็นจริง
I'm trying to keep wealthy that's for real ฉันพยายามจะรักษาความมั่งคั่ง นี่สิเป็นจริง
Pero mira que tu estas buena, y mira que tu estas dura
Baby no me hables mas, y tiramelo mami chula
No games you'll see, you can put the blame on me
Dale munequita ahora ahi, and let it rain over me
[Bridge]
Mr worldwide, Marc Anthony, tu sabe
I was playing with her, she was playing with me ฉันกำลังแหย่หยอกกับเธอ เธอก็เล่นกับฉัน
Next thing you know, we were playing with three กว่าจะรู้ตัว ไหงกลายเป็นสามคน
Oh oh oh oh oh oh
I was playing with her, she was playing with me
Next thing you know, we were playing with three
Oh oh oh oh oh oh
Rain over me
I'm outta my mind ฉันคลั่งทีเดียว
Let it rain over me ปล่อยมาให้เต็มที่
I'm rising so high ตื่นเต้นเหลือกำลัง
Out of my mind คลั่งสุดฤทธิ์
So let it rain over me ปล่อยมาได้ตามสบาย
Ay ay ay
Let it rain over me
Ay ay ay
Let it rain over me
[Pitbull]
Always a new million จะมีสรรพสิ่งมากมายอยู่เสมอ
Always a new vodka จะมีวอตก้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ
Forty is the new 30 สี่สิบก็คือตัวใหม่ต่อจากสามสิบ
Baby you're a rockstar แม่หวานใจ เธอนั้นเหมือนกับราชินีร๊อค
Dale veterana, que tu sabe สองบรรทัดนี้ภาษาสเปนนะ
Mas de la cuenta, no te hagas
Teach me or better yet, สอนฉันหน่อยซิ หรือถ้าจะให้ดี
Freak me baby, yes, yes ทำให้ฉันตัวสั่นสยอง
I'm freaky, I'mma make sure that your peach feels peachy baby ฉันเป็นไอ้ตัวประหลาด อยากจะรู้ให้แน่ว่าเธอนั้นเป็นอย่างที่เห็น
No bullshit rods, I like my women sexy classy sassy ไม่ตอแหล ฉันชอบผู้หญิงเซ็กซี่เร่าร้อน
Powerful yes, they love to get the middle, nasty ow รุนแรง เขาชอบสัมผัสทางเพศที่พิศดาร
This ain't a game you'll see, you can put the blame on me ไม่ได้หลอกเล่นหรอกนะ คอยดูซิ ท้าได้เลย
Dale munequita ahora ahi, and let it rain over me (ส่วนแรกภาษาสเปน)
[Pitbull]
Always a new million
Always a new vodka
Light is the new majority, ya tu sabe
Next step la casa blance
No hay carro, no vamo en balsa
Mami you know the drill, they will know what I got 'til they read the will แม่หญิง เธอรู้ดี, พวกเขาจะรู้ว่าฉันมีอะไรบ้างก็ตอนที่อ่านพินัยกรรม
I ain't try, I ain't trying to keep it real ฉันไม่พยายาม ไม่พยายามจะทำให้มันเป็นจริง
I'm trying to keep wealthy that's for real ฉันพยายามจะรักษาความมั่งคั่ง นี่สิเป็นจริง
Pero mira que tu estas buena, y mira que tu estas dura
Baby no me hables mas, y tiramelo mami chula
No games you'll see, you can put the blame on me
Dale munequita ahora ahi, and let it rain over me
[Bridge]
Mr worldwide, Marc Anthony, tu sabe
I was playing with her, she was playing with me ฉันกำลังแหย่หยอกกับเธอ เธอก็เล่นกับฉัน
Next thing you know, we were playing with three กว่าจะรู้ตัว ไหงกลายเป็นสามคน
Oh oh oh oh oh oh
I was playing with her, she was playing with me
Next thing you know, we were playing with three
Oh oh oh oh oh oh
Rain over me
"to put yourself in someone else's shoes"บางครั้งเราก็ต้องใส่รองเท้าคนอื่นบ้าง
"to put yourself in someone else's shoes"
to put = วาง;ใส่
yourself = ตัวคุณเอง
in = ใน
someone = ใครคนหนึ่ง
someone else = ผู้อื่น (หนึ่งคน)
someone else's = ของผู้อื่น
shoes = รองเท้า
บางครั้งเราก็ต้องใส่รองเท้าคนอื่นบ้าง อันนี้ไม่ใช่ความหมายนะครับพี่น้อง
ความหมายจริง ๆ คือ ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เช่น
You should put yourself into
his shoes before you judge him.
คุณควรจะเอาใจเขา มาใส่ใจคุณก่อนที่จะตัดสินเขา
คำอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
sympathy = ความเห็นอกเห็นใจ
เช่น
This saying teaches us to
have sympathy for others.
คำพูดนี้สอนให้เรามีความเห็นอกเห็นใจให้ผู้อื่น
หรือถ้าใช้เป็นกริยาจะเปลี่ยนเป็น
sympathize = เห็นอกเห็นใจ
เช่น
This saying teaches us to
sympathize with other people.
คำพูดนี้สอนให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
empathy = ความสามารถที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกผู้อื่นเพราะเคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายกัน
เช่น
ถ้าสมมุติว่ายายของเพื่อนเราเพิ่งเสียชีวิตและยายของเราก็เสียเมื่อปีที่แล้ว เราก็เลยสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกเสียใจของเพื่อนเราได้
เราก็สามารถบอกเพื่อนเราได้ว่า
Everything will be okay. I can empathize with you because I lost my grandma last year.
ในประโยคข้างบน เราเปลี่ยนรูปแบบของคำว่า
eympathy(นาม)เป็นempathize(กริยา)นะครับ
to put = วาง;ใส่
yourself = ตัวคุณเอง
in = ใน
someone = ใครคนหนึ่ง
someone else = ผู้อื่น (หนึ่งคน)
someone else's = ของผู้อื่น
shoes = รองเท้า
บางครั้งเราก็ต้องใส่รองเท้าคนอื่นบ้าง อันนี้ไม่ใช่ความหมายนะครับพี่น้อง
ความหมายจริง ๆ คือ ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เช่น
You should put yourself into
his shoes before you judge him.
คุณควรจะเอาใจเขา มาใส่ใจคุณก่อนที่จะตัดสินเขา
คำอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
sympathy = ความเห็นอกเห็นใจ
เช่น
This saying teaches us to
have sympathy for others.
คำพูดนี้สอนให้เรามีความเห็นอกเห็นใจให้ผู้อื่น
หรือถ้าใช้เป็นกริยาจะเปลี่ยนเป็น
sympathize = เห็นอกเห็นใจ
เช่น
This saying teaches us to
sympathize with other people.
คำพูดนี้สอนให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
empathy = ความสามารถที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกผู้อื่นเพราะเคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายกัน
เช่น
ถ้าสมมุติว่ายายของเพื่อนเราเพิ่งเสียชีวิตและยายของเราก็เสียเมื่อปีที่แล้ว เราก็เลยสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกเสียใจของเพื่อนเราได้
เราก็สามารถบอกเพื่อนเราได้ว่า
Everything will be okay. I can empathize with you because I lost my grandma last year.
ในประโยคข้างบน เราเปลี่ยนรูปแบบของคำว่า
eympathy(นาม)เป็นempathize(กริยา)นะครับ
flexible words
mess
(เม็ส) เป็นคำที่ใช้บ่อยมากและใครๆก็ต้องรู้คำนี้นะครับ คำนี้มีหลายความหมายทีเดียวและความหมายก็จะเปลี่ยนไปตามบริบทนะครับผม เช่นดังต่อไปนี้
1.(ยุ่ง)
Don't mess with me!
(โดน-ท เม็ส วิท มี)
อย่ามายุ่งกับฉัน
2. (ทำผิด)
I messed up!
(ไอ เม็ส-ท อัพ)
ฉันทำผิด
3. (เล่น)
Quit messing around!
(ควิท เม็ส-ซิง อะราว-น-ด)
เลิกปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือ เลืกเล่นแล้ว เอาจริงเอาจัง
หรือ
Don't mess/mess around with my feelings.
(โดน-ท เม็ส อะราว-น-ด วิท ไม ฟีลิง-ส)
อย่ามาเล่นกับความรู้สึกของฉัน
4. (รก, ไม่เรียบร้อย)
My room is such a mess!
(ไม รูม อิส ซัท-ช อะ เม็ส)
ห้องฉันรกมาก
ในประโยคนี้messเป็นคำนาม ถ้าจะเปลี่ยนเป็นคำคุณศัพท์ก็ต้องเติม-syตอนท้ายดังต่อไปนี้
My room is so messy!
(ไม รูม อิส โซ เม็ส-สิ)
ห้องฉันรกมาก
6. (ไม่มีระเบียบ, วุ่นวาย)
My life is such a mess!
(ไม ไล-ฟ อิส ซัท-ช อะ เม็ส)
ชีวิตของฉันไม่มีระเบียบเลย
กับ
This situation is a mess.
(ดิส สิท-ชิว-เว-ชิน)
สถานการณ์นี้วุ่นวายมาก
so
so
(โซ) นอกจากเป็นคำที่ใช้บ่อยมากแล้วยังเป็นคำที่ดิ้นได้ครับ เช่น
1. (จัง)
He's so cool.
(ฮี-ส โซ คูโว-ล)
เค้าเท่จัง
เค้าเท่จัง
2. (แล้วไง)
So what?
(โซ วัท)
แล้วไงต่อ
3. (ถ้าอย่างนั้น, งั้น)
So, let's get to the point.
(โซ เล็ท-ส เก็ท ทิอู เดอะ โพย-น-ท)
งั้นเราเข้าประเด็นเลย
4.(ก็เลย,จึง,ฉะนั้น)
I'm hungry, so I'm gonna eat.
(ไอ-ม ฮังกรี โซ ไอ-ม เกิน-เหนอะ อีท)
ฉันหิว ฉันก็เลยจะกิน
5. (เพื่อจะได้)
Please turn on the lights so that we can see.
(พลี-ส เทอร-น ออน เดอะ ไล-ท-ส โซ แดท วี แคน ซี)
ช่วยเปิดไฟหน่อยเพื่อเราจะได้มองเห็น
6. (งั้นๆ)
That movie was so-so.
(แดท มูฟี วัส โซๆ)
หนังเรื่องนั้นงั้นๆ
7.(เรื่อยๆ)
คนA: How are you? คนB: So-so
(ฮาว ออ-เออร ยิอู โซๆ)
คนA: เป็นไงมั่ง คนB:เรื่อยๆ
8. (อย่างนั้น,อย่างนี้)
Is that so?
(อิส แดท โซ)
มันเป็นอย่างนั้นเหรอ, จริงเหลอ
Just do it like so.
(จัส-ท ดู อิท ไล-ค โซ)
แค่ทำอย่างนี้
9. เป็นต้น, และอื่นๆ, ฯลฯ
I like to play team sports such as basketball, football, soccer, and so on.
(ไอ ไล-ค ทิอู เพล ทีม สโพ-เออร-ท-ส ซัท-ช แอส แบ-สคิท-บอ-ล ซอเคอร แอน-ด โซ ออน)
ฉันชอบเล่นกีฬาที่มีทีมเช่นบาสเกตบอล อเมริกันฟุตบอล ฟุทบอล เป็นต้น
take off
(เท-ค ออฟ) เป็นคำที่ดิ้นได้เช่น
1.(ไป)
I'm gonna take off.
(ไอ-ม เกิน-เหนอะ เท-ค ออฟ)
ฉันจะไปแล้ว
2.(ถอด)
Please take off your shoes.
(พลี-ส เท-ค ออฟ โย-เออร ชู-ส)
กรุณาถอดรองเท้า
3.(ลด)
I'll take off another dollar.
(ไอ-โย-ล เท-ออฟ อะนาเดอร ดอ-เลอร)
ฉันจะลดอีกหนึ่งดอลลาร์
4. (ขึ้น)
My plane will take off at 9 pm.
(ไม เพลน วิโอ-ล เท-ค ออฟ แอท ไน-น พีเอ็ม)
เครื่องบินฉันจะขึ้นตอนสามทุ่ม
5. (หัก)
Why did you take off two points?
(ไว ดิด ยิอู เท-ค ออฟ ทิอู โพย-น-ท-ส)
คุณหักสองคะแนนทำไม
take care
2. (ดูแลหรือรับเลี้ยง)
4. (จัดการ)
คุณหักสองคะแนนทำไม
take care
(เท-ค เค-เออร)เป็นคำที่ดิ้นได้ครับเช่น
1. (ดูแลตัวเองด้วยนะ)
1. (ดูแลตัวเองด้วยนะ)
เวลาลาเพื่อนฏ้บอกได้ว่า Take care! หรือ Take care of yourself!
2. (ดูแลหรือรับเลี้ยง)
Will you take care of my cat for me over the weekend? I'm going on vacation.
(วิโอ-ล ยิอู เท-ค เค-เออร อัฟ ไม แคท โอเฟอร เดอะ วีค-เอ็น-ด ไอ-ม โก-อิง ออน เฟ-เค-ชิน)
คุณดูแลแมวของฉันเสาร์อาทิตย์นี้ได้มั้ย ฉันจะไปเที่ยว
3. (จ่ายให้หรือจ่ายเอง)
I'll take care of the bill.
(ไอ-โย-ล เท-ค เค-เออร อัฟ เดอะ บิโอ-ล)
ฉันจะจ่ายบิลเอง
4. (จัดการ)
You need to take care of that problem.
(ยู นีด ทฺอู เท-ค เค-เออร อัฟ แดท พรอ-เบล็ม)
คุณต้องจัดการกับปัญหานั้น
เครดิต : อาจารย์ อดัม Adam Bradshaw
เครดิต : อาจารย์ อดัม Adam Bradshaw
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)